explainer มหากาพย์คดี “ลุงวิศวะ” สิ้นสุดลงแล้ว กับคำตัดสินของศาลฎีกา ที่เปลี่ยนคำพิพากษา จากศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์อย่างสิ้นเชิง
1 min readเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไร และนำไปสู่บทสรุปแบบไหน workpointTODAY จะรวบรวมเรื่องทั้งหมดแต่แรกอีกครั้ง ใน 17 ข้อ กับคดีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในสัปดาห์นี้
1) นายสุเทพ โภชนสมบูรณ์ เรียนจบ ม.ปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นทำงานเป็นวิศวกร อยู่ที่บริษัท ไมคอล เอ็นจิเนียริ่ง
2) ย้อนกลับไปวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 นายสุเทพ ได้เดินทางไปพักผ่อนที่บางแสน พร้อมกับคุณแม่ ภรรยา และหลาน 1 คน จากนั้นในช่วงขากลับ นายสุเทพและครอบครัว ได้จอดข้างทางเพื่อแวะซื้อของฝากบริเวณสะพานปลา อ่างศิลา พอซื้อเสร็จแล้วกำลังจะขับรถออก ปรากฏว่ามีรถตู้หนึ่งคันมาจอดซ้อนคันขวางทาง ทั้งๆที่ด้านหน้ามีที่จอดอีกมาก
3) นายสุเทพตบไฟสูงหลายครั้ง พร้อมกับบีบแตร เพื่อให้รถตู้เลื่อนออกไป จากนั้นภรรยาได้เข้าไปบอก ให้รถตู้ขยับรถให้หน่อย แต่รถตู้ก็ไม่ยอมเลื่อน นายสุเทพโมโหจึงตะโกนบอกไปว่า “ที่ว่างจอดตั้งเยอะตั้งแยะ คุณมาจอดซ้อนคันได้ไง” แต่คนขับรถตู้สวนกลับมาว่า “โถ่เอ๊ย รอแป้บเดียวไม่ได้หรือไงพี่ แค่นี้รอไม่ได้ใช่ปะ”
4) เมื่อโดนกวนประสาทมา นายสุเทพจึงฟิวส์ขาดแล้ว ตะโกนว่า “อ้าวเย็ดแม่มึงดิ ไอ้เหี้ย มาดิมา” จากนั้นทั้งฝ่ายรถตู้ตะโกนด่ากลับด้วยคำหยาบคายเช่นกัน แต่ไม่มีอะไรรุนแรง พอทั้งสองฝ่ายปิดกระจกรถลงแล้ว นายสุเทพหันมาพูดกับภรรยาว่า “เดี๋ยวยิงแม่งเลย” จากนั้นเหตุการณ์ก็เหมือนจะผ่านไป
5) แต่เหตุการณ์ไม่จบ เมื่อรถตู้ขับออกไปก่อน นายสุเทพที่ขับตามหลัง บีบแตรยาวใส่ 1 ที ก่อนขับแซงหน้าไป อย่างไรก็ตาม รถตู้คันดังกล่าว พร้อมด้วยรถเก๋งอีกหนึ่งคัน ที่เป็นพวกเดียวกัน ไม่พอใจที่โดนบีบแตร จึงขับไล่จี้ท้ายมาตลอด พร้อมบีบแตรเป็นระยะเป็นการเอาคืน เมื่อรู้สึกโดนคุกคาม ทำให้เมื่อขับรถถึงแยกครกใหญ่ นายสุเทพเห็นหน่วยกู้ภัยจอดรถอยู่พอดี จึงชิดซ้ายจอดเพื่อให้ภรรยา ลงไปบอกกู้ภัยมาช่วยไกล่เกลี่ย
6) แต่ยังไม่ทันได้ลงไปแจ้งใคร รถตู้รีบขับมาจอดขวางดักหน้ารถของนายสุเทพ ก่อนที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นจำนวน 10 คน จะกรูลงจากรถตู้ แล้วรุมด่าว่า “มึงเก๋าหรอ เอาป่าว เอาป่าว มึงเอาป่าว มึงเก๋าหรอ ไอ้สัส”
นายสุเทพ เปิดกระจกรถ แล้วบอกเด็กวัยรุ่นว่า “มันผ่านไปแล้ว ผมมากับแม่ กับลูก ขอร้องเลย ขอร้อง” แต่กลุ่มวัยรุ่นไม่ฟัง แล้ว ด่ากลับไปว่า “มึงรบ มึงจะรบป่าว มึงเก๋าหรอ” แล้วก็เริ่มต่อยหน้าของนายสุเทพ
7) สุดท้ายนายสุเทพคว้าเอาปืนพกของตัวเอง ก่อนยิงมั่วไป 1 นัด กระสุนพุ่งไปโดนนายนวพล ผึ่งผาย ชื่อเล่นปอนด์ วัย 17 ปี ซึ่งเป็นคนตะโกนว่า “มึงจะรบป่าว” ที่บริเวณราวนมด้านซ้าย สุดท้ายนายนวพล ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลชลบุรี ซึ่งในจังหวะที่ยิง ภรรยาของนายสุเทพถามว่า “พี่ยิงหรอ” นายสุเทพตอบกลับไปว่า “มันต่อยพี่!”
8 ) เหตุการณ์ทั้งหมดสิ้นสุดตรงนี้ นายสุเทพเข้ามอบตัวกับตำรวจทันทีพร้อมของกลาง โดยยืนยันว่า การยิงเกิดขึ้นเพราะต้องป้องกันตัวจากการโดนรุมทำร้าย โดยกระสุนที่ยิง ยิงเพียง 1 นัด ไม่ได้เล็งที่ศีรษะ แต่เป็นการลั่นไกมั่วเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ประวัติของนายสุเทพ ไม่เคยก่ออาชญากรรมใดๆ มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ทำผิดกฎหมาย ส่วนปืนที่ใช้ มีใบอนุญาตครอบครองอย่างถูกต้อง ขณะที่คลิปวีดีโอหน้ารถของตัวเอง ก็ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้น เปิดเผยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดูด้วยความบริสุทธิ์ใจ
9) สำหรับกระบวนการสู้คดีนั้น ฝั่งพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ต้องการให้มีบทลงโทษหนักที่สุด ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับ อัยการว่าจะมองเหตุการณ์นี้ เป็น “ป้องกันตัวโดยชอบ” หรือ “เจตนาฆ่า” ซึ่งทั้งสองแบบ มีบทลงโทษที่ต่างกัน
แต่สุดท้าย อัยการมองว่า นี่เป็นเจตนาฆ่า อัยการสั่งฟ้อง 2 ข้อหาคือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ โดยเรือโทสมนึก เสียงก้อง โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดกล่าวว่า “ขอยืนยันว่าอัยการพิจารณาด้วยความเป็นธรรม มิได้กลั่นแกล้งแต่อย่างใด”
นายสุเทพกล่าวว่า “สรุปว่าอัยการสั่งฟ้องผมข้อหาเจตนาฆ่าแล้วนะครับ ผมและภรรยาเครียดมากไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ ผมคิดทบทวนหลายครั้ง ว่าถ้ามีคนมาทำร้ายคุณและครอบครัว ต่อไปก็คงต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาจัดการเพียงอย่างเดียว แต่จะช่วยคุณทันหรือไม่ ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่คุณมีแล้วล่ะ ตอนนี้ก็ต้องสู้กันต่อไปในชั้นศาล ผมก็ได้แต่หวังว่าฟ้าดินคงรับรู้ ว่าสิ่งที่ผมทำลงไปมันคือการป้องกันตัว และผมไม่ได้มีเจตนาฆ่าปอนด์จริงๆ”
10) ในคดีนี้ เกิดการถกเถียงในสังคมอย่างหนัก ว่าถ้าหากต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนายสุเทพ เราควรทำอย่างไร เราไม่ควรยิงตอบโต้อย่างนั้นหรือ หรือควรจะปล่อยให้โดนรุมต่อยจนบาดเจ็บหนัก หรือเสียชีวิต แต่ก็มีความเห็นอีกด้าน ชี้แจงว่า นายสุเทพก็ไม่ควรเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นแต่แรกสิ เป็นผู้ใหญ่กว่าก็ปล่อยเขาไปเหตุการณ์ก็ไม่เกิดแล้ว
11) วันที่ 24 กันยายน 2561 ถึงวันที่ศาลชั้นต้น ที่ชลบุรี อ่านคำพิพากษา ได้ข้อสรุปว่า จำเลยพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจริง จำเลยมีโทษจำคุก 15 ปี แต่ไม่ได้หลบหนีไปไหน และมอบตัวทันที ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 10 ปี พร้อมต้องจ่ายเงินสินไหมทดแทนให้ครอบครัวผู้ตาย 340,000 บาท โดยศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยสมัครใจเข้าไปมีส่วนร่วมทะเลาะวิวาทมาตลอด ทั้งๆที่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นายสหภาพ คุณพ่อของผู้ตายกล่าวว่า “รู้สึกพอใจในคำตัดสินของศาล อยากฝากไปถึงดวงวิญญาณของน้องปอนด์ ว่าทำสำเร็จแล้วให้คนผิดได้รับโทษ” อย่างไรก็ตาม นายสุเทพได้ยื่นอุทธรณ์ ไปที่ศาลอุทธรณ์เพื่อขอความเป็นธรรม โดยยืนยันว่าเป็นการป้องกันตัว
12) เวลาหนึ่งปีผ่านไป วันที่ 10 ตุลาคม 2562 ศาลอุทธรณ์จังหวัดชลบุรี อ่านคำพิพากษา ระบุว่า “ถ้าตอนที่รถตู้ของผู้ตายขับออกไปแล้ว ถ้าจำเลยมีสติ รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง โดยจอดรอสักพักหนึ่งก่อน เพื่อให้โทสะคลายลงแล้วค่อยขับออกไป เหตุวิวาทในคดีนี้คงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จำเลยกลับขับรถตามไปทันที มีการขับแซงและบีบแตรยาวใส่หนึ่งครั้ง แสดงให้เห็นว่าจงใจยั่วโทสะของกลุ่มผู้ตาย”
“เหตุที่จำเลยมีพฤติการณ์เช่นนี้ ก็เนื่องจากจำเลยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แสดงให้เห็นถึงนิสัยและพฤติกรรมของจำเลยที่พร้อมที่จะสมัครใจวิวาท ดังนั้นคำอ้างว่าป้องกันตัวจึงฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น” นั่นคือจำคุก 10 ปี แต่ นายสุเทพ ขอสู้ต่อในศาลสุดท้าย คือศาลฎีกา โดยขอประกันตัว ด้วยวงเงิน 874,000 บาท
13) ศาลฎีกาใช้เวลาพิจารณา 1 ปีครึ่ง และจะอ่านคำพิพากษาในวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันนัดหมาย นายสุเทพไม่มา โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า เจ้าตัวอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกหนีโทษจำคุก ดังนั้นศาลจึงริบเงินประกัน 874,000 บาท และออกหมายจับ เพื่อให้มาฟังคำพิพากษา แต่ถ้าสุดท้าย ตำรวจไม่สามารถหาตัวพบ ศาลฎีกา ก็จะอ่านคำพิพากษาให้สาธารณชนได้รับรู้ ในวันที่ 17 มิถุนายน 2564
14) สำหรับคำตัดสินสุดท้ายของศาลฎีกา แตกต่างจากศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยศาลฎีกาเปิดเผยว่า “จุดเริ่มต้นของเรื่อง เกิดจากรถตู้ของผู้ตาย จอดซ้อนคันกับรถจำเลย แม้จำเลยกับภรรยาจะไปขอให้ขยับ แต่รถตู้ไม่ยอมขยับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำกัน เหตุการณ์แบบนี้ ใครเจอ ก็ต้องรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม ชนวนเหตุนี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ถึงขนาดจำเลยต้องยิงอีกฝ่ายให้ตาย”
“เหตุการณ์ผ่านไป จำเลยและภรรยาระงับความโกรธได้แล้ว จึงคิดไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ แต่กลุ่มผู้ตายหลายคนลงมาล้อมรถของจำเลย ขณะที่ผู้ตายมุดศีรษะเข้ามาในรถยนต์ของจำเลย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า ‘มึงจะรบเปล่า’ หลายครั้ง และมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ตายจะเข้ามาทำร้ายจำเลย ขณะเดียวกันจำเลยยังถูกกลุ่มผู้ตายชกต่อยจากด้านหลัง”
“ถ้ามองในแง่ว่าจำเลยนั่งอยู่ในจุดที่พื้นที่จำกัด และเคลื่อนไหวร่างกายได้ยาก การใช้อาวุธปืน จึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้จำเลยพ้นจากการถูกทำร้าย”
15) บทสรุปของศาลฎีกาคือ การยิงปืนแค่นัดเดียว กับการโดนรุมทำร้ายแบบนั้น จะลงโทษ ฐานเจตนาฆ่าก็รุนแรงเกินไป จึงพิพากษาแก้ว่า เป็นการฆ่าผู้อื่นแต่เป็นการป้องกันตัว จำคุก 5 ปี ลดโทษ 1 ใน 3 เหลือ จำคุก 3 ปี 4 เดือน แต่รอลงอาญา 3 ปี และต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมความประพฤติทุกๆ 3 เดือน และ ต้องเข้ารับการอบรมการควบคุมอารมณ์ 30 ชั่วโมง
16) คดีนี้ เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ผู้ใช้รถใช้ถนนได้หลายแง่มุม เช่น ฝั่งรถตู้ก็ควรมีมารยาทในการใช้ถนนแต่แรก ไม่ควรไปจอดปิดขวางทางคนอื่นแบบนั้น ยิ่งเมื่อเขาไปขอแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องยั่วยุกลับมา การมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมถนน ก็มีความสำคัญ
ขณะที่เรื่องของอารมณ์ ก็จำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจให้ดี เพราะมันอาจบานปลายไปสู่จุดที่คาดไม่ถึง นายสุเทพ ถ้าระงับอารมณ์ไว้ได้ ปล่อยทุกอย่างไป เหตุการณ์ก็คงไม่บานปลาย จนถึงขั้นต้องขึ้นศาล 4 ปี และโดนยึดเงินประกันแบบนี้
เช่นเดียวกับกลุ่มวัยรุ่น ที่อยู่กับกลุ่มเพื่อนแล้วเกิดความคึกคะนอง ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายจะพกอาวุธอะไรอยู่หรือไม่ การพร้อมไปมีเรื่องแลกกับชีวิตตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่า ส่วนเพื่อนฝูงที่ร่วมก่อเรื่องด้วยกัน ปัจจุบันก็ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเองแล้ว และคนที่จะต้องเสียใจท้ายที่สุดก็คือครอบครัว
17) และนี่คือการปิดฉากคดีอันยาวนาน 4 ปีกับอีก 4 เดือน บทสรุปทั้งหมดคือ นายสุเทพผิดจริงฐานฆ่าคนตาย แต่ศาลฎีกามองว่าเป็นการป้องกันตัว และมีโทษเพียงรอลงอาญา ถ้าไม่ทำผิดซ้ำอีก ก็ไม่โดนจำคุก