กรมวิทย์ฯ ร่วมกับ ศิริราช เปิดผลข้อมูลล่าสุด “วัคซีนสลับและวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3” ต่อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า
1 min readนายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ตามที่มีการระบาดของโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019; COVID-19) ที่เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา (Severe acute respiratory syndrome-related coronavirus-2; SARS-CoV-2) ซึ่งเป็นเชื้ออุบัติใหม่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีอันตรายร้ายแรง และมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลก ได้มีการผลิตวัคซีนและใช้เพื่อป้องกันโรคโควิด 19 ในขณะที่ไวรัส SARS-CoV-2 มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมจนเกิดการกลายพันธุ์ทำให้การติดเชื้อง่ายมีความรุนแรงมากขึ้นและสามารถหลบภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้ดีจนองค์การอนามัยโลกประกาศไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ที่ต้องควบคุมป้องกันว่าเป็นกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล (variants of concern, VOC) ซึ่งได้แก่ ไวรัสสายพันธุ์อัลฟา เดลต้า เบต้า และแกรมมา ปัจจุบันประเทศไทยพยายามเร่งฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด 19
โดยมีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียน และมีการนำมาใช้เป็นหลักในขณะนี้คือวัคซีน CoronaVac ผลิตโดยบริษัท Sinovac วัคซีน AstraZeneca ผลิตโดยบริษัท AstraZeneca ทำให้มีการตั้งคำถามเกิดขึ้นว่าวัคซีนเหล่านี้สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ถ้ามีการสลับการให้วัคซีน (Mix and Match) รวมถึงการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 แบบ heterologous prime-boost กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้ร่วมกับศิริราชพยาบาล ทำการศึกษาระดับภูมิคุ้มกันในซีรั่มของคนที่ได้รับวัคซีน โดยใช้ไวรัสสายพันธุ์จริงที่กำลังระบาดในประเทศไทย คือ สายพันธุ์เดลตา หรือสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) ซึ่งพบในการติดเชื้อกว่า 90% ทำการทดสอบโดยวิธีมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไปคือวิธี Plaque Reduction Neutralization Test (PRNT) ซึ่งต้องปฏิบัติในห้องชีวนิรภัยระดับ 3 เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้เพื่อหาค่าที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตาถูกทำลาย 50% (Neutralizing Titer 50%, NT50) โดยแอนติบอดีที่เกิดขึ้นหลังฉีดวัคซีน
โดยทำการศึกษาในอาสาสมัคร 6 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 ที่ได้รับวัคซีน CoronaVac 2 เข็ม (SV+SV)
กลุ่มที่ 2 ได้รับ วัคซีน AstraZeneca 2 เข็ม (AZ+AZ)
กลุ่มที่ 3 ได้รับ วัคซีน CoronaVac และตามด้วย AstraZeneca (SV+AZ)
กลุ่มที่ 4 ได้รับ วัคซีน AstraZeneca และตามด้วย CoronaVac (AZ+SV)
กลุ่มที่ 5 ได้รับ วัคซีน CoronaVac 2 เข็มและตามด้วย Covilo 1 เข็ม (SV+SV+Sinopharm)
กลุ่มที่ 6 ได้รับ วัคซีน CoronaVac 2 เข็มและตามด้วย AstraZeneca 1 เข็ม (SV+SV+AZ)
ผลการศึกษา พบว่า ระดับภูมิคุ้มกันในกลุ่มต่างๆ หลังการได้รับวัคซีนครบโดส 2 สัปดาห์ ต่อเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สายพันธุ์เดลตา มีค่าเฉลี่ยระดับภูมิคุ้มกันที่สามารถลบล้างฤทธิ์ไวรัส (ดังแสดงในแผนภูมิ)
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีผู้ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบตามเกณฑ์แล้วไปตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย อย่างกรณีของ “แต้ว” ณฐพร เตมีรักษ์ นักแสดงชื่อดัง ว่าการตรวจหาภูมิคุ้มกันในห้องปฏิบัติการ (แล็บ) เป็นการวัดระดับภูมิฯทั่วไป โดยรวมของร่างกาย ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่าป้องกันโรคได้มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะการตรวจในแต่ละแล็บที่มีการตั้งค่าตรวจต่างกันไปด้วย และเป็นการตรวจเพียงส่วนแอนติสไปรท์ รีเซ็ปเตอร์บายดิ่ง โดเมน (Anti-spike Receptor Binding Domain : RBD) ซึ่งหากภูมิฯขึ้นหลักพันก็ถือว่าสูงพอสมควรแล้ว ส่วนที่ลดลงมาเล็กน้อยก็ไม่สามารถระบุได้ว่าภูมิฯลดลงหรือไม่ อย่างไรเพราะหากไปตรวจซ้ำอีกครั้ง ตัวเลขก็อาจจะเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลดลงได้อีก
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า ส่วนที่กรมวิทยาศาสตร์ไม่แนะนำให้ประชาชนที่รับวัคซีนครบแล้วไปตรวจหาระดับภูมิฯด้วยตัวเอง เพราะค่าเหล่านี้ไม่สามารถอ้างอิงได้ว่าจะป้องกันโรคโควิด-19 ได้มากน้อยอย่างไร และที่สำคัญคือเชื้อโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลง วัคซีนที่ผลิตขึ้นมาใช้ขณะนี้ก็รองรับเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมที่ระบาดในช่วงแรกเท่านั้น