นครปฐม หนุ่มใหญ่ประกาศออกสื่อ ตามหาเมียหลังหายตัวร่วม 10 วัน ไม่ทราบชะตากรรม
1 min readวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจากกรณี นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ชาวจังหวัดนครปฐม ซึ่งไปทำงานตั้งครอบครัวที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้มีการแจ้งความไว้ที่ สภ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ว่านางสาวธัญญารัตน์ อายุ 36 ปี ภรรยาได้หายตัวออกจากบ้านพักไป ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีการประสานให้สื่อช่วยประกาศติดตามภรรยาเนื่องจากไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร โดยตอนนี้มีความทุกข์ใจมาก เนื่องจากตนเองและครอบครัวของภรรยาก็มีความเป็นห่วงและไม่สามารถติดตามตัวได้
โดยผู้สื่อข่าว ได้มาพบกับ นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ซึ่งมีอาการเซื่องซึมและมีความวิตกกังวลกินนอนไม่หลับ ได้บอกว่า ตนเองได้มีการแจ้งความไว้เรื่องการตามหาภรรยา ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถึงตอนนี้ไม่ทราบว่าตัวอยู่ที่ไหน ไม่สามารถติดต่อทางมือถือหรือทางโซเชียลที่เคยติดต่อได้ทุกช่องทาง หวั่นว่าจะเกิดอันตรายหรือหากมีการหนีตามใครก็ขอให้กลับมาพูดคุยทำความเข้าใจกันก่อน
นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี บอกว่า ที่ผ่านมา ตนเองได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยามาแล้ว 17 ปี โดยมีลูกสาว 1 คนอายุ 15 ปี ซึ่งวันที่เขาหายตัวไปก็ไม่มีสัญญาณอะไรว่าเป็นสิ่งปกติ ก่อนหน้าตนเองได้ชักชวนภรรยากลับมาที่บ้านแม่ที่นครปฐม แต่เขาไม่มาบอกว่าลูกสาวติดสอบออนไลน์ ตนเองมาแล้วก็กลับมาถึงถนนพระราม 2 ผมก็ยังไลน์คุยกัน เขายังถามงว่ารถเยอะไหม แต่ก็มีประโยคที่สะท้อนใจ ที่เขาบอกว่า ดูแลตัวเองให้ดีด้วย แต่กลับไปแล้วเขาก็ไม่ได้หายไป
นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี เล่าว่า ซึ่งเมื่อวันที่เขาหายไปคือวันที่ 22 ธันวาคม ผมก็ยังไลน์คุยกันปกติ โดยทุกวันเขาจะนอนกับลูกสาว เพราะอ้างว่ามีอาการไม่สบายปวดหน่วงๆที่ช่องท้องและแพ้ฝุ่น แต่เราก็ติดต่อกันตลอด โดยเมื่อติดต่อหลายครั้งเขาก็ปิดเครื่อง และช่วง 5 ทุ่มกว่า ทุกโชเชียลก็ได้ถูกปิดทั้งหมด ไม่สามารถติดต่อได้ ถามลูกสาวก็บอกว่าติดต่อไม่ได้เช่นกัน
วันที่ 23 ธันวามคม ก็พยายามออกตามหาทุกที่ ก็ไม่พบติดต่อไปที่แม่ของเขาก็ไม่มีใครทราบว่าไปไหน โดยวันที่ 24 ธันวาคม ก็ได้ออกไปตามหาตัวที่จังหวัดพระนครศรีอยุธา คิดว่าเขาไปกับเพื่อนเพื่อจะไปเที่ยวแต่รถมาเสียก็ไปไม่ถึง ยิ่งถามหาตัวก็ไม่เจอจึงได้ตัดสินใจไปแจ้งความ จนถึงวันนี้เรื่องก็เงียบไปเลย ผมทำทุกทางแล้ว จนถึงวันนี้
นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี เล่าต่อว่า ตอนนี้ผมตั้งไว้ 3 ประเด็นคือเขาหนีไปบวช เพราะเดิมเขามีร้านนวด 2 ร้านแต่ปิดหมดเพราะพิษโควิด-19 ทำให้ผมกับเขามีปัญหาเรื่องเงินบ้าง แต่ไม่เคยทะเลาะมีเรื่องกันถึงขั้นตบตี ประเด็นที่สองคือถูกคนมาหลอก วาดฝันให้เขาไปต่างๆนานา แต่ก็คิดว่าภรรยามีลูกแล้วใครจะมารักเขาขนาดนั้น ประเด็นสุดท้ายคือ ถูกหลอกไปทำร้ายหรือทำให้ถึงชีวิต ผมห่วงเรื่องนี้เป็นหลัก แต่ประเด็นก็พอมีเพราะเขาเคยไปธนาคารออมสิน อีเกีย ที่เมกา บางนา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยเอาเงิน 8 หมื่นไปฝาก แต่ธนาคารบอกว่า น่าจะฝาก 1 แสน แต่เขาเงินไม่พอจึงได้เอาเงินลูกสาว ฝากเพิ่ม 1.2 หมื่น ขาด 8 พันบาท เขาก็บอกว่ามีคนให้ยืม ผมพยายามไปขอกล้องวงจรปิดแต่เขาก็ไม่ให้และทางตำรวจก็มาดูกล้อง แต่เงียบไป
“สิ่งที่ผมห่วงคือหากเขาไปกับใครก็ให้มาบอกดีดี ตอนนี้ลูกสาวก็อายุ 15 ปี แล้ว กำลังโตกลัวว่าจะไม่มีใครประคองเกี่ยวกับปัญหาวัยรุ่น ซึ่งแม่เขา ญาติเขาก็ร้องไห้ บอกให้ผมออกไปตามหาให้เจอ อีกส่วนหากมีใครแล้วก็ให้มาบอกกลับมาคุยกันว่าจะเอายังไง และอยากให้กลับมาคุยกัน ส่วนหากมีผู้ชายมาแอบชอบ ก็อยากจะบอกว่า คุณรักภรรยาผมหรือ หากรักกันก็ให้มาบอกกันมาคุยกัน ตอนนี้ทุกคนเป็นห่วงมาก” นายสมิทธิพงศ์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี กล่าวปิดท้ายด้วยอาการนิ่งเงียบและครุ่นคิดตลอดเวลา
ภาพ/ข่าว ปนิทัศน์ มามีสุข / นส.ปณิดา มามีสุข จ.นครปฐม