อุปทูตซาอุ และอุปทูตไทย ณ กรุงริยาด เร่งสร้างสัมพันธ์ ไทย-ซาอุ เผย เป็นนิมิตหมายที่ดีในการยกระดับเศรษฐกิจ จชต.
1 min readวันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2565) ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้จัดการสัมมนา “โอกาส ศักยภาพและความท้าทายของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และของประเทศไทย ภายหลังรัฐบาลเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดิอาระเบียโดยสมบูรณ์” โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานและร่วทปาฐกถา “ความสำเร็จของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดิอาระเบีย โอกาสและศักยภาพของประเทศและจังหวัดชายแดนภาคใต้ภายใต้ศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์” และมีนายอิซอม ซอและห์ เอช. อัลจีเตลี อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตอาณาจัักรซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย และนายสธน เกษมสันต์ ณ อยุธยา อุปทูตไทย ณ กรุงริยาด ประเทซาอุดิอาระเบียเข้าร่วมบรรยาพิเศษ โอกาส ศักยภาพ และความท้าทายของจังหวัดชายแดนภาคใต้ และของประเทศไทย ภายหลังรัฐบาลเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดิอาระเบีย โดยสมบูรณ์
นายอิซอม ซอและห์ เอช. อัลจีเตลี อุปทูตสถานเอกอัครราชทูตอาณาจัักรซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียกับประเทศไทยเป็นความสัมพันธ์ที่มีมาอย่างยาวนาน และถูกสถาปนาขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2500 และผ่านช่วงเวลาต่างๆจนนำไปสู่การลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ สู่ระดับอุปทูต อย่างไรก็ตามจากการที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เยือนซาอุดิอาระเบีย เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของ เจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดิอาระเบีย พร้อมร่วมแถลงการณ์ของทั้งสองประเทศภายหลังการเยือนดังกล่าว เปรียบเสมือน road map และเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ สำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างทั้งสองประเทศ และเป็นแรงผลักดันที่แข็งแกร่ง สำหรับการเป็นหุ้นส่วนในด้านต่างๆ อย่างไรก็ตามการค้าระหว่าง 2 ประเทศในปี ค.ศ 2020 อยู่ที่ประมาณ 5.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในระยะเวลาอันสั้นนี้
ด้านนายสธน เกษมสันต์ ณ อยุธยา อุปทูตประเทศไทย ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า การรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบียตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2565 และการเยือนประเทศไทยของเลขาธิการองค์การสันนิบาตมุสลิมโลก ซึ่งเป็นชาวซาอุดิอาระเบีย รวมถึงการตอบรับคำเชิญที่จะมาเยือนประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ของเลขาธิการองค์การ OIC ซึ่งเป็นองค์การระหว่างประเทศของประเทศมุสลิมซึ่งมีซาอุดิอาระเบียเป็นแกนหลัก ถือว่าเป็นข่าวดีและเรื่องที่ดีสำหรับคนไทย ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศกำลังยกร่าง road map ของความร่วมมือในภาพรวมและอยู่ระหว่างการจัดตั้งกลไกหารือทวิภาคีอย่างเป็นทางการ รวมถึงการจัดตั้งคณะทำงานต่างๆเพื่อจัดทำข้อตกลงให้เป็นกรอบในการดำเนินการร่วมกันในหลายด้าน เช่น ด้านแรงงาน การท่องเที่ยว การลงทุน เป็นต้น สำหรับข้อความที่นายกรัฐมนตรีฝากถึงคนไทยในซาอุดิอาระเบียและคนไทยที่จะเดินทางไปซาอุดิอาระเบียในอนาคตนั้น นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าใด หรือประกอบอาชีพใด เป็นเหมือนทูตของไทยในซาอุดิอาระเบียทั้งสิ้น สามารถช่วยสร้างและรักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในซาอุดิอาระเบีย เพื่อสร้างสัมพันธ์ระดับประเทศให้ดีขึ้นต่อไป
สำหรับการร่างกรอบแนวทางการขับเคลื่อนงานการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ ศอ.บต. จัดขึ้นเพื่อระดมความคิดเห็นในช่วงวันที่ 14-15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา โดยมีผู้นำศาสนา ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ภาคประชาชน นักศึกษาและศิษย์เก่าจากต่างประเทศเข้าร่วมประชุมและเสนอข้อคิดเห็นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ภายใต้สัมพันธ์ ไทย-ซาอุดิอาระเบียใน 9 ด้านประกอบด้วย ด้านการท่องเที่ยว พลังงาน แรงงาน อาหาร การค้าและการลงทุน สุขภาพ ความร่วมมือทางการศึกษา ศาสนา และด้านการกีฬา โดยจะมีการพิจารณาร่างกรอบแนวทางขับเคลื่อนงานที่สมบูรณ์ เพื่อส่งต่อให้กระทรวงการต่างประเทศนำไปขับเคลื่อนและผลักดันต่อไป
ภาพ/ข่าว อับดุลหาดี เจ๊ะยอ จ.ยะลา