“ทนายกองทัพธรรม” นำหลักฐาน เข้าแจ้งความดำเนินคดี”หมอปลา”กับพวก

ตามที่ได้ปรากฏภาพ หมอปลาพร้อมกับพวก และสื่อมวลชน บุกเข้ากุฎิพระสงฆ์ วัดห้วยจระเข้ พยายามกล่าวหาพระสงฆ์ว่ามีประพฤติมิชอบ โดยอ้างมีคนแจ้งแบะแส แต่สุดท้ายก็ไม่พบการกระทำผิด ยังมีการไลน์สด ซึ่งไม่งามสำหรับพระสงฆ์ หลังเกิดเหตุ ก็ไม่ได้มีการขอโทษแต่อย่างใด

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที 17 พ.ค.65 ที่สถานีตำรวจภูธรเมือง จังหวัดนครปฐม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร ทนายกองทัพธรรม ในฐานะนายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย นำหลักฐานเป็นภาพถ่าย เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับหมอปลาและพวก บุกเข้าไปกุฏิพระสงฆ์รูปหนึ่ง ที่วัดห้วยจระเข้ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม เวลากลางคืน ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากหมอปลา ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีอำนาจ ไม่มีหน้าที่ ในการที่จะเข้าไปตรวจสอบหรือนำกลุ่มบุคคล บุกรุกเข้าไปกุฏิพระสงฆ์ พยายามสอบสวนและกล่าวหาพระสงฆ์ ว่ามั่วสีกา และยังชักชวนหรือนำกลุ่มบุคคลเข้ามาร่วมดำเนินการ นอกจากนี้ยังนำสื่อมวลชนในทีม เข้ามาทำการไลฟ์สด ซึ่งไม่งามสำหรับพระภิกษุสงฆ์
และเมื่อเข้าไปถึงกุฏิกับพบกับบุคคลต้องสงสัยดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้ชาย มีศักดิ์เป็นญาติกันกับพระสงฆ์รูปดังกล่าว ซึ่งเข้ามาช่วยดูแลความสะอาดภายในกุฏิ นานกว่า 7 ปีแล้ว เข้า-ออกแบบเปิดเผย รวมถึงช่วยเฝ้าระวัง เนื่องจากพระภิกษุสงฆ์รูปดังกล่าวมีโรคประจำตัวอยู่ เป็นลักษณะเหมือนโยมอุปถาก ไม่ได้มีการมั่วสีกาตามที่กล่าวหา เหตุเกิดวันที่ 7 เมษายน 2565 หลังเกิดเหตุ พระสงฆ์รูปดังกล่าว ได้มีการแจ้งความไว้แล้ว

ในฐานะนายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย เห็นการกระทำของหมอปลาและกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันกระทำการดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นคุกคามพระภิกษุสงฆ์ วันนี้ จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษหมอปลาและกลุ่มบุคคลดังกล่าว ในข้อหา บุกรุกเคหะสถาน พรบ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 อนุ 1 หรือหากสอบสวนแล้วปรากฏว่า เป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ก็จะเข้าข่ายซ่องโจรด้วย

พ.ต.ท.นิพนธ์ ก่อเกียรติตระกูล รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม ออกมารับเรื่องดังกล่าว และได้เชิญ นายศุภภัทร์พจน์ฯ เข้าไปสอบถามรายละเอียด และเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รับเรื่องร้องทุกกล่าวโทษไว้ และจะได้เชิญผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาสอบสวนอีกครั้ง

ต่อจากนั้น ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดหัวยจระเข้ เพื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์รูปดังกล่าว ปรากฏว่าพระรูปดังกล่าว ไปทำธุระด้านหน้า พระสงฆ์รูปอื่นๆ ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ ต่อจากนั้น ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่ก็ไม่พบเจ้าหน้าที่