สาวเจ้าของร้าน”ก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก” ร้อง กมธ.ขอความเป็นธรรม หลังถูกตร.ตม.ตีกินต่างด้าว เรียก 4พัน ทั้งที่ปรับจริงแค่ 800
1 min read
พรุ่งนี้ วันที่ 7 กันยายน 65 เวลา 11.00น น.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช อายุ 37 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก พร้อมด้วย นายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการแรงงาน นายจิระภาคย์ เปรมพิริยธรณ์ ที่ปรึกษาประธานอนุกรรมาธิการรับเรื่องร้องเรียนตำรวจ และนายปริญญา จิตติเจษฎาภรณ์ ทนาย จะไปยื่นหนังสือร้องเรียน ต่อประธานกรรมาธิการการแรงงาน สส.สุเทพ อู่อ้น เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกกลั่นแกล้ง ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ได้รับผลกระทบในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ทางกรรมาธิการการแรงงานจะได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงถึงรายละเอียดกรณีดังกล่าวว่า ผิดถูกอย่างไร เพื่อจะได้เป็นคดีกรณีตัวอย่างเพราะตนเองเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เจอในกรณีอย่างที่ตนเองเจอ
จากกรณี วันที่ 6 ก.ย.2565 น.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช อายุ 37 ปี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวแซ่บแตกซิก พร้อมด้วย นายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการแรงงาน นายจิระภาคย์ เปรมพิริยธรณ์ ที่ปรึกษาประธานอนุกรรมาธิการรับเรื่องร้องเรียนตำรวจ และนายปริญญา จิตติเจษฎาภรณ์ ทนายโจ้ เข้าพบพนักงานสอบสวนให้การเพิ่มเติมกรณี แจ้งความดำเนินคดี กับผู้ชายทั้ง 6 คน ทั้งหมด 5 ข้อหา ประกอบด้วย 1.หมิ่นประมาท , 2. พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ , 3.บุกรุก , 4.ข่มขู่ และ 5.มาตรา 157 หลังมีชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้าบุกจับกุมลูกน้องต่างชาติในร้าน ทั้งที่มีเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย จนตนต้องไปยืนขวางรถตู้ปกป้องลูกน้อง โดยเจ้าของร้านเผยว่า เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นวันที่ 2 ก.ย.ที่ผ่านมา
โดยมีชาย 6 คน อ้างเป็นตำรวจตรวจคนเข้าเมือง มาขอตรวจบัตรลูกน้องที่เป็นคนต่างชาติ ตอนนั้นตนอยู่บ้าน ดูวงจรปิดในมือถือ ก็งงว่าทำไมเป็นตำรวจแต่ไม่ใส่เครื่องแบบ จึงรีบขับรถมาที่ร้าน พอขอดูบัตรตำรวจ เขาก็ปฏิเสธไม่อยากให้ดูด้วย
ทั้งนี้ตนได้ยืนยันว่า ลูกน้องมีบัตรต่างด้าวถูกต้องตามกฎหมาย แต่เวลาทำงาน ไม่ได้พกมาด้วย เขาก็รีบกลับไปที่หอพัก มายืนยันชายฉกรรจ์เหล่านี้แล้ว เพียงแต่ที่พักในบัตรไม่ตรงกับที่ทำงาน ตนเลยบอกว่าตอนตำรวจมาตรวจครั้งก่อน ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โดยกลุ่มชายฉกรรจ์ได้ขู่ว่า ถ้าไม่อยากให้ลูกน้องถูกกลับประเทศ ให้จ่ายเงินคนละ 4 พันบาท 3 คนเป็นเงิน 1.2 หมื่นบาท ตนไม่ยอมจ่าย เพราะไม่รู้ว่าตำรวจจริงหรือปลอม จึงโทร.หาสน.ดอนเมือง ให้มาที่ร้าน กลุ่มชายฉกรรจ์ทำทีเดินออกร้าน ตนก็ขวาง พอตำรวจมาถึงก็เข้าไปคุย ก่อนจะอ้างว่า เป็นเรื่องของเขา ผมไม่รู้กฎหมาย และก็กลับไปเลย
ระหว่างนั้นชายฉกรรจ์ทั้ง 6 คนยังขู่ลูกน้องอีกว่า “ถ้าไม่จ่ายเงินได้กลับประเทศแน่นอน” ลูกน้องก็อยากจะจ่าย แต่ตนห้ามไม่ให้จ่าย และเขาก็ใช้สายรัดข้อมือลูกน้องพาขึ้นรถตู้ ตนพยายามยืนขวางรถไว้ เพื่อปกป้องลูกน้อง ไม่ให้ใครพาไปไหน จนขับออกไปได้
พอตนตามไปที่สน.ดอนเมือง เห็นเขานั่งพิมพ์สำนวนตรงศาลา ไม่ได้เข้าไปที่โรงพัก และพยายามให้ลูกน้องเซ็นเอกสาร ตนก็ห้ามไม่ให้เซ็น เพราะไม่รู้ว่าข้อมูลในเอกสารมีอะไรบ้าง และทาง ตำรวจ สน.ดอนเมือง แจ้งว่า ลูกน้องต้องจ่ายค่าปรับ คนละ 4,000 บาท เพราะที่อยู่ในเอกสารไม่ตรงกับที่ทำงาน หากไม่จ่ายต้องนอนคุก ด้วยความที่ตนเป็นเจ้านาย ยอมให้เด็กนอนคุกไม่ได้ เลยจ่ายไป 12,000 บาท เพื่อให้เรื่องจบ
พอวันต่อมาตนเข้าไปแจ้งความ เจอผู้ชาย 3 คน เดินเข้ามาหา แนะนำว่าเป็นหัวหน้าของผู้ชาย 6 คน พร้อมกับยกมือไหว้ บอกว่า “ขอโทษแทนเด็กๆ ขอให้อย่าเอาเรื่อง ขอความเห็นใจ ถ้าลูกน้องโดนผมก็โดนด้วย และจะโอนค่าปรับคืน 12,000 บาท” ตนเลยบอกไปว่าไม่ได้หิวเงิน เพียงแต่ต้องการทวงความยุติธรรมให้ตัวเองและลูกน้อง มั่นใจว่าตัวเองบริสุทธิ์ วันนี้ลูกน้องไปดำเนินการเปลี่ยนที่อยู่ในบัตร เจ้าหน้าที่แจ้งว่า ค่าปรับ 800 บาท ไม่ใช่ 4,000 บาท
ภายหลังแจ้งความเสร็จได้มีผู้บังคับบัญชา ของตำรวจ ทั้ง 3 คนที่อยู่ในบันทึกการจับกุม เข้ามาชี้แจงและขอพูดคุยเจรจา ยอมรับว่า ชายทั้ง 6 คนเป็นตำรวจจริง และทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่มีชื่อบันทึกการจับกุมเพียง 3 นายนั้น ขอไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครัง และไม่ได้ปฎิเสธกรณีที่ทางน.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช เหล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังและแจ้งข้อกล่าวหาว่าเคยมีการเจรจา เพื่อจะมอบเงินค่าปรับที่ ทางร้านได้เสียค่าปรับจริงจำนวนเงิน12000 บาท เพื่อแสดงความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชา เพื่อให้ทางร้านไม่แจ้งความเอาผิดลูกน้อง
ซึ่งการเจรจาที่ สน.ดอนเมืองวันนี้ไม่เป็นผล น.ส.กัญญาพัชร์ ขจรวงศ์วาณิช ยืนยันจะดำเดินการให้ถึงที่สุด โดยพรุ่งนี้ วันที่ 7 กันยายน 65 เวลา 11.00น จะไปยื่นหนังสือร้องเรียน ต่อประธานกรรมาธิการการแรงงาน สส.สุเทพ อู่อ้น เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีถูกกลั่นแกล้ง ในฐานะที่ตนเองเป็นผู้ได้รับผลกระทบในกรณีดังกล่าว เพื่อให้ทางกรรมาธิการการแรงงานจะได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงถึงรายละเอียดกรณีดังกล่าวว่า ผิดถูกอย่างไร เพื่อจะได้เป็นคดีกรณีตัวอย่างเพราะตนเองเชื่อว่ามีอีกหลายคนที่เจอในกรณีอย่างที่ตนเองเจอ และจะเข้าร้อง กมธ.ตำรวจเพื่อดำเดินการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว เพื่อดำเดินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด (ต้องการให้ออกจากราชการ) ไม่ใช้แค่ย้าย
คลิกชมคลิป..