“เจ๊นิกกี้ ตลาดไท” สุดจะทนแจ้ง ตร.จับ น้อง หลาน และสะใภ้ รวมหัวขโมยสินค้าบริษัทแอบขายเสียหายหลายล้านบาท
1 min readผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ 15 ต.ค 65 น.ส ณิชากร ธัญญชีพ หรือ”เจ๊นิกกี้ ตลาดไท” อายุ 50 ปี เจ้าของธุรกิจซื้อขายพลาสติก และเจ้าของร้านขายอาหารกาแฟชื่อดังย่านปทุมธานี เดินทางมาที่ สภ. คลองหลวง จ.ปทุมธานีพร้อมนำหลักฐานและของกลาง รวมทั้งมาให้ปากคำเพิ่มกับ ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ แสนโท พนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดที่ร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์และรับของโจร พร้อมขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสืบสวนขยายผลว่ามีใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังในการที่ตนถูกก่อเหตุครั้งนี้อีกด้วย
เจ๊นิกกี้ ฯ ได้กล่าวเปิดเผยว่า สืบเนื่องมาจากตนได้เปิดบริษัทรับซื้อขายพลาสติกและของเก่า ตั้งอยู่อยู่ที่เลขที่ 21/4 หมู่14 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยเปิดทำธุรกิจนี้มานานกว่า 10 ปีและเปิดร้านขายอาหารและกาแฟชื่อดังย่านคลองหลวง ส่วนเหตุที่มาแจ้งความเพื่อเอาผิดผู้ก่อเหตุนั้นสืบเนื่องมาจาก เงินในบริษัทฯเกี่ยวกับพลาสติกนั้นได้พบว่าหายไปจำนวนมาก โดยเมื่อต้นปี 65 ตนได้เห็นพฤติกรรมของเสมียนสาวของบริษัทคนหนึ่ง มีท่าทางเกรี้ยวกราดและพูดจาไม่ดีกับคนงานหลายครั้ง จนเริ่มมีคนงานอยากลาออก ซึ่งตนก็เคยได้ดูในกล้องวงจรปิดของบริษัท จากนั้นตนจึงได้เดินทางเข้ามาดูแล้วสอบถามข้อเท็จจริงจนทราบว่า น.ส.โอ๋ (นามสมมุติ) เสมียนคนดังกล่าว มีพฤติกรรมเหมือนไม่เกรงใจใครแม้แต่ตนเข้ามาพูดคุย และมีพฤติกรรมอีกหลายอย่างที่น่าสงสัย หลังจากที่ตนให้นายตุ่น (ขอสงวนชื่อนามสกุลจริง) หลานชาย มาเป็นหัวหน้าพนักงานและคนงานทั้งหมด ซึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ น.ส.โอ๋ ไม่เคยมีปัญหาและพฤติกรรมอย่างนี้ จนสุดท้ายตนก็ต้องให้เสมียนสาวคนดังกล่าวพ้นจากหน้าที่
พร้อมกันนี้ก็ได้ให้ น.ส.หวาน (ขอสงวนชื่อสกุลจริง) ลูกสะใภ้มาทำหน้าที่แทนพร้อมกับนายชา (ขอสงวนชื่อนามสกุลจริง) น้องชายแท้ๆของตน มาเป็นเสมียนบัญชีคุมสต๊อก แต่ต่อมาเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ตนได้มีการขอตรวจสอบเกี่ยวกับบัญชีและยอดรายรับรายจ่ายพร้อมบัญชีจำนวนสินค้าที่ได้ซื้อเข้าและขายออกไปปรากฏว่าสินค้าได้หายไปจำนวนมากแต่เงินเข้าบริษัทเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้ ตนสั่งซื้อสินค้าเข้ามา 1.4 ล้านบาทแต่ปรากฏว่าสินค้าหมดแต่มีรายรับเข้ามาเพียง 400,000 บาท จึงเกิดความเอ๊ะใจสงสัย จากนั้นตนพร้อมสามีจึงได้แอบตรวจสอบและตรวจเช็คทางลับ พร้อมขอดูข้อมูลหลักฐานต่างๆจากของพนักงานในบริษัท จึงพบว่าได้มีการนำสินค้าของบริษัทออกไปขายโดยไม่นำเงินเข้ามาในบริษัท
จากนั้นเมื่อวันที่ (14 ต.ค.) ตนได้นำข้อมูลหลักฐานมาพบ พ.ต.ท.สิรภพ บัวหลวง สว.สืบสวน สภ.คลองหลวง พร้อมนำตัวนายตุ่น หลานชาย นายชา น้องชาย และ น.ส.หวาน ลูกสะใภ้ รวมทั้งนายมาย คนขับรถส่งของของบริษัท ไปทำการสอบสวน โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันนำทรัพย์สินของบริษัทไปขายจริง และทำมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งนั้นจะให้นายมาย ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก 6 ล้อ หรือ รถกระบะตู้ทึบนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้า โดยที่นายมายไม่ทราบว่าพวกตนนั้นนำไปแอบขาย เพราะเป็นคนขับรถที่ได้รับคำสั่ง จึงกันไว้เป็นพยาน
หลังจากเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำเรียบร้อย และได้ทำ บันทึกลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และบันทึกในการรับสารภาพ หลังจากนั้นในช่วงเช้าวันนี้ (15 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้ผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมดนำพาไปยังร้านที่รับซื้อสินค้าในเขตพื้นที่ ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏว่าเมื่อไปถึงพบว่าโรงงานที่รับซื้อนั้นเป็นของ น.ส.โอ๋ เสมียนคนที่เคยทำงานอยู่ที่บริษัท โดยพบว่ามีสินค้าอยู่ในร้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้แสดงตัวและความบริสุทธิ์ใจ มีการพูดคุยกับเจ้าของและคนดูแลโกดังจนเข้าใจและอนุญาติ ก่อนทำการตรวจยึดและนำมาเก็บไว้เป็นของกลางเพื่อจะตรวจสอบ หลังจากนั้นทางพนักงานสอบสวน จึงได้ลงบันทึกประจำวันไว้ทั้งหมดรวมทั้งการรับสารภาพของผู้ก่อเหตุ และนัดหมายให้ผู้ที่ร่วมขบวนการทั้งหมด ให้มารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้งในวันอังคารที่ 17 ต.ค. นี้
ส่วน น.ส.โอ๋ ยังให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเพราะรับซื้อกับคนที่ไม่รู้จักและซื้อมาอย่างถูกต้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป
สำหรับทรัพย์สินที่เสียหายจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่ามีมูลค่ากว่า 3 ล้านบาทโดย เจ๊นิกกี้ ยังกล่าวว่าตนไม่คิดว่าคนใกล้ตัวซึ่งเป็นญาติแท้ๆและลูกสะใภ้จะกล้ามาทำกับตนขนาดนี้ถือว่าเลี้ยงไม่เชื่อง เนรคุณทุกคน และตนจะขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม รายงาน