หักกันแรง! “อัจฉริยะ” พา “เหยื่อ” อ้างถูกลูกน้อง“บิ๊กโจ๊ก” อุ้มเป็นพยานคดีตบทรัพย์พนันออนไลน์ 140 ล้าน ร้องศูนย์ป้องกันปราบปรามอุ้มหาย ตลิ่งชัน
1 min readหักกันแรง! “อัจฉริยะ” พา “เหยื่อ” อ้างถูกลูกน้อง“บิ๊กโจ๊ก” อุ้มเป็นพยานคดีตบทรัพย์พนันออนไลน์ 140 ล้าน ร้องศูนย์ป้องกันปราบปรามอุ้มหาย ตลิ่งชัน ขณะที่ตำรวจย้อนเกล็ด นำหมายจับจะเข้าควบคุมตัวเหยื่อสาวที่ “อัจฉริยะ” พามา จนอัยการออกมาขอให้หยื่อใก้ถ้อยคำก่อน แล้วค่อยไปจับกุมกันด้านนอกพื้นที่ สนง.อัยการ
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้พา “เหยื่อ” ที่อ้างว่าถูกลูกน้องของ “บิ๊กโจ๊ก” หรือ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อุ้มไปเป็นพยานในคดีของพลตำรวจตรีกัมพล ลีลาประภาภรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กับพวก ร่วมกันรีดเงินผู้ต้องหาในคดีพนันออนไลน์ 140 ล้านบาท / มาที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารถนนบรมราชชนนี เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมถึงนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หลังอ้างว่าการกระทำดังกล่าว เข้าข่ายผิด พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ “พ.ร.บ.อุ้มหาย”
โดยนายอัจฉริยะ ได้นำหลักฐาน ทั้งภาพถ่าย และ คลิปวิดีโอที่เป็นหลักฐาน เกี่ยวกับการแจ้งความเท็จ ยัดข้อหาให้กับนางสาวโบว์ ซึ่งผู้ที่เป็นคนแจ้งความ คือ ตำรวจที่เป็น 1 ในทีมคณะทำงานของบิ๊กโจ๊ก ยศ ร้อยตำรวจเอก ( ร.ต.อ.ชยุต) ที่มีส่วนร่วมในขบวนการรีดทรัพย์แก๊งพนันออนไลน์ 140 ล้าน แล้วไม่ถูกดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหา แต่กลับเป็นคนไปแจ้งให้ข้อมูลกับตำรวจว่านางสาวโบว์ มีส่วนร่วมกับในการกระทำความผิด
โดยหลักฐานดังกล่าว เป็นหลักฐานเท็จที่อ้างว่านางสาวโบว์ มีการโอนเงินให้กับบุคคลหนึ่ง (นางสาว อรอุมา) เป็นเงินเกือบ 1 แสนบาท ซึ่งทั้งที่จริงแล้วนางสาวโบว์ไม่ได้มีการโอนเงินอะไรทั้งสิ้น และนายอัจฉริยะยังบอกอีกว่า การที่ ร.ต.อ.ชยุต ยิมยอมให้การเท็จเพื่อแลกกับ ตำแหน่งสารวัตรจราจรพัทยา และขบวนการดังกล่าวทั้งหมดนั้น เป็นการฟอกขาวให้กับนายเป้และพวก ที่เป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์
นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังแฉต่อว่า ที่ผ่านมาบิ๊กโจ๊ก พยายามพูดมาตลอดว่าจะทำความจริงให้ปรากฎ แต่เมื่อเพื่อนร่วมรุ่นตัวเอง ลูกน้องตัวเองกระความผิดหลายอย่าง แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีอะไร ตนเองขอเป็นตัวแทนตำรวจกว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ ที่เป็นผู้เสียหายว่าบิ๊กโจ๊กไม่ให้ความเป็นธรรม แต่กลับ เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องในการกระทำความผิดรวมถึงตนยังมีหลักฐานที่พบว่าคนสนิทของบิ๊กโจ๊ก อักษรย่อ ด. เป็นคนพานายบอย 1 ในผู้ต้องหาคดี 140 ล้าน หลบหนีไปยังประเทศสิงคโปร์อีกด้วย ซึ่งหลักฐานดังกล่าวถ้าบิ๊กโจ๊กอยากเห็นก็มาขอดูส่วนตัวกับตนได้ พร้อมจะเปิดเผยให้ดู
และหลังจากนี้ตนจะไปแจ้งความยัง ปปป. เพื่อดำเนินคดีกับ ร.ต.อ.ชยุต ในข้อหาแจ้งความเท็จ และบอกอีกว่าบิ๊กโจ๊ก มีความพยายามในการฟอกขาว นายเป้ ทั้งที่นายเป้เป็นเจ้าของเว็ปพนันออนไลน์ที่ทำร่วมกับนายชีพ มีเงินหมุนเวียนในเว็ปพนันกว่าพันล้านบาทต่อเดือน ซึ่งนายอัจฉริยะได้นำหลักฐานที่เป็นภาพถ่ายของนายเป้ที่กำลังเซ็นยอมรับว่าเป็นเจ้าของเว็ปพนันจริง
ขณะที่ “นางสาวโบว์” ผู้เสียหาย บอกว่า วันนี้เธอมาร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการฯ หลังเมื่อวันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรากฎมีตำรวจ 3 นาย เข้ามาที่บ้านในพื้นที่ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี ในขณะที่เธอกำลังนอนป่วยเป็นเนื้องอกในมดลูกขนาด 9 คูณ 10 อยู่ในบ้าน ซึ่งตอนนั้นสามีพิการที่นอนอยู่ด้วยกันได้สะกิดเท้าเรียก เพราะเห็นตำรวจทั้ง 3 นายเข้ามา โดยเธอยอมรับว่ารู้สึกงงและตกใจมาก เพราะตำรวจทั้ง 3 นาย ไม่ได้มีหมายค้นหรือหมายจับหรือหมายใดๆ เข้ามาแสดงเลย เพียงแต่บอกว่า “มาขอความร่วมมือ” ก่อนพาเธอไปที่โรงพักบ้านนาสาร และอยู่ที่โรงพักนานถึง 9 ชั่วโมง ซึ่งตอนนั้นสภาพร่างกายของเธอย่ำแย่มาก เพราะเลือดไหลออกมาตลอดเวลา
นางสาวโบว์ ระบุว่า เธอเองสิ้นสุดงานเป็นสายลับให้กับตำรวจชุด ศปอส. จังหวัดชลบุรีแล้ว หลังได้รับมอบหมายหาข้อมูลลับให้กับตำรวจชุดดังกล่าว ก่อนได้เซ็นลงบันทึกประวันและลงเบอร์โทรศัพท์ไว้ ว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อเท็จจริงและข้อมูลแน่นขึ้น โดยวันนี้จึงรู้สึกพอต้องกลายเป็นเหยื่อและกำลังจะถูกออกหมายจับด้วย ก็รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆในคดี 140 ล้านบาท แต่ตำรวจชุดที่เข้าไปที่บ้าน ซึ่งเป็นชุดลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก ยศผู้กำกับในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พยายามให้เซ็นเอกสารกว่า 100 แผ่น และพยายามสอบถามว่า รู้จักคนนั้นคนนี้หรือไม่ ซ้ำร้ายยังเอาโทรศัพท์ของเธอไปดูกันหลังฉาก เพื่อดึงข้อมูลในโทรศัพท์ ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุด เกี่ยวข้องกับการทำงาน เป็นข้อมูลลับ และเกี่ยวข้องกับการธุรกรรมทางการเงิน ด้วย สุดท้ายเธอต้องเซ็นยินยอมทุกอย่าง เพราะถ้าไม่เซ็นยืนยัน เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปดูลูกหรือไม่ อีกทั้งสามีพิการ ก็ต้องมานั่งเฝ้า เพราะกลัวว่าเธอจะไม่ปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมีตำรวจนอกเครื่องบุกมาที่บ้าน เพื่อทำลายกล้องวงจรปิดที่บ้าน ในช่วงที่เธอหนีขึ้นไปอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งก็ยังมีรถสีดำติดฟิล์มทึบ ขับรถผ่านในลักษณะคุกคามและข่มขู่ เธอจึงอยากมาขอความเป็นธรรมในวันนี้ โดยเธอไม่คิดว่าตำรวจชุดดังกล่าวจะดึงข้อมูลที่เธอได้มาฆ่าเธอในวันนี้
พร้อมยืนยันว่า เธอไม่เคยโอนเงินให้ใครและไม่ได้รู้จักนายเป้หรือทีมงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายเป้ พร้อมยอมรับว่าทีมงานตำรวจดังกล่าว ได้พูดข่มขู่ด้วยว่า “รู้มั้ยพี่ทำคดีอะไรมาเยอะแยะ นั่งโกหกพี่มา 4-5 ชั่วโมง รู้มั้ยคดีผู้การฯ ชลบุรีพี่ก็ทำ”
ด้านนายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการสำนักงานการสวบสวน กล่าวว่า ขณะนี้ได้รับหนังสือร้องเรียนแล้วในขั้นตอนต่อไป คณะทำงานศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย กรุงเทพมหานคร จะพิจารณารายละเอียด และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ตามขั้นตอนของกฎหมายถ้าคณะทำงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ดังกล่าวของเจ้าหน้าที่ผิดตามพ.ร.บ.อุ้มหายฯ จะมีบทกำหนดความผิดอยู่ประมาณ 5-6 ฐาน สำหรับกฎหมายฉบับนี้กำหนดให้หน่วยงานมีอำนาจสอบสวนความผิดพ.ร.บ.อุ้มหายฯ ทั้งหมด 4 หน่วยงาน ประกอบด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานอัยการสูงสุด
ทั้งนี้ถ้าผู้เสียหาย เชื่อว่าพฤติการณ์ดังกล่าว เข้าข่าย พ.ร.บ อุ้มหายฯ จะต้องมีการแจ้งพนักงานอัยการทันทีแต่ไม่มีการกำหนดกรอบระยะเวลาว่าจะต้องแจ้งภายในเวลาเท่าใด
สำหรับกรณีดังกล่าวทางคณะทำงานจะเร่งดำเนินการในทันที แต่ทั้งนี้ยังต้องพิจารณาเงื่อนไข อีกหลายส่วน ในนามสำนักงานอัยการสูงสุดและ พนักงานอัยการทั่วประเทศเราได้มีการเตรียมความพร้อมสำหรับกฎหมายฉบับนี้ มาตั้งแต่ก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้แล้ว
วันนี้ก็ต้องขอบคุณที่ได้มอบความไว้ใจให้สำนักงานอัยการสูงสุด ตนจะดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายในทันทีโดยจะมอบหมายให้ ศูนย์ปฏิบัติการฯ พิจารณาเรื่องนี้เพื่อ เสนอพิจารณาดำเนินการทันที
ในขณะเดียวกันระหว่างที่แถลงข่าวได้มีตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายเดินวนเวียนอยู่ในบริเวณที่มีการแถลงข่าวด้วย พร้อมกับแสดงหมายจับพยานมาแสดงกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ป้องกันและปราบการกระทำให้บุคคลสูญหาย เพื่อจับกุมตัวเหยื่อที่นายอัจฉริยะผ่ามา แต่ ถูกอัยการสั่งเบรค ขอให้พยานให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่ก่อน โดย ขอตำรวจไปรอจับ ด้านนอกพื้นที่ สนง.อัยการ