“ชูวิทย์” แฉเพื่อชาติ ว่าที่นายกฯ “เศรษฐา” ทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำรัฐสูญเสียรายได้ 521 ล้านบาท
1 min read“ชูวิทย์” แฉเพื่อชาติ ว่าที่นายกฯ “เศรษฐา” ทำนิติกรรมอำพรางเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำรัฐสูญเสียรายได้ 521 ล้านบาท เชื่อ เศรษฐารู้เรื่องอย่างดีเพราะเป็นคนรับรองการประชุม และให้แยกโอนที่ดินเป็น 12 วัน ชี้ นายกฯ ต้อง มีความซื่อสัตย์สุจริตตามรัฐธรรมนูญ
ที่โรงแรมเดวิส สุขุมวิท24 วันนี้(3 ส.ค.66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวอภิปรายคุณสมบัตินายกฯ คนใหม่ของประเทศไทย “มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์หรือไม่?” โดยได้มีการขึ้นภาพบนจอโปรเจคเตอร์ เป็นรูปคล้ายกับโปสเตอร์ภาพยนตร์ ระบุข้อความว่า CHUWICK Series / แฉเพื่อชาติ โดยระบุเป็น EP.ทั้งหมด 10 EP. / อีพีที่หนึ่ง 12 คน 12 วัน / อีพีสอง ปั่น / อีพีสาม บวม / อีพีสี่ ขงเบ้ง / อีพีห้า ร้าง / อีพีหก แพะชนแกะ / อีพีเจ็ด ฟอก / อีพีแปด ตัดตอน / อีพีเก้า กู้ และอีพีที่สิบ บทสรุปธาตุแท้ของนายทุน
โดยในช่วงต้นของการแถลงข่าว นายชูวิทย์บอกว่าตนไปโรงพยาบาลในช่วงเช้า ไปฉีดยา และบอกว่าตัวเองมีเวลาไม่เยอะบนโลกใบนี้ ชีวิตผมเป็นเส้นด้ายและจะเป็นเส้นสุดท้าย และยังระบุด้วยว่า มีความพยายามจะไม่ให้ผมพูดในทุกวิถีทางมีการใส่ร้าย ที่จะไม่ให้นายชูวิทย์พูด ใครจะแนะแหน พูดไปเลย ตนไม่มีต้นทุน แต่นายเศรษฐาไปคุกเข่ากับนายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ว่าจะทำให้ทุกอย่างหากได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นำหลักฐานการซื้อขายที่ดินของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ และเป็นแคนนิเดตนายกรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อให้คัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยเป็นการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน ราคากว่า 1,570 ล้านบาท เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นที่ดินตาราวาละ 1 ล้านบาท ที่แพงที่สุดในประเทศไทย แต่มีการประเมินซื้อขายของบริษัทตารางวาละ 4 ล้านบาท ซึ่งมีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทำให้รัฐขาดรายได้ไปกว่า 521 ล้านบาท โดยทำนิติกรรมอำพรางมีการแบ่งโอนที่ดินทั้งแปลงเป็น 12 วัน และให้มีผู้ซื้อขาย 12 คน โดยมีหลักฐานการโอนที่ดินในวันทำการติดต่อกันทั้ง 12 วัน จากเดิมที่ต้องเสียภาษีหากโอนที่ดินในวันเดียวเป็นเงินกว่า 580 ล้านบาท แต่ทางบริษัทเสียภาษีที่ดินเป็นเงินเพียง 59 ล้านบาท เท่านั้น
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า การโอนที่ดินในลักษณะนี้ เป็นการเลี่ยงเสียภาษีในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือ คณะบุคคล เพราะต้องเสียจำนวนเงินเยอะกว่าการแยกจ่ายเป็น 12 วัน และยังเห็นว่ามีความผิดปกติในโฉนดที่ระบุถึงเงินมัดจำค่าที่ดินแต่ละวันไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้เงินสดมากกว่าร้อยละ 50 ในการวางมัดจำ ซึ่งเป็นเงินครั้งละกว่า 200 ล้านบาท นายชูวิทย์ เห็นว่าผิดปกติ เพราะเงินจำนวนมากขนาดนี้จะต้องจ่ายด้วยเช็ค แต่ครั้งนี้เป็นเงินสด
นายชูวิทย์ ยังมีหลักฐานการประชุมของบริษัทแสนสิริ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่มีมติให้แยกโอนที่ดินรวม 12 วัน โดยมีการลงนามรับรองของนายเศรษฐา ซึ่งบริษัทแสนสิริ เป็นบริษัทมหาชน มีฝ่ายกฎหมายที่เชี่ยวชาญ นายเศรษฐาจึงต้องรู้ช่องทางกฎหมายเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหากนายเศรษฐา ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนต่างๆ เช่นเดียวกับคดีเก่าๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัท แสนสิริ ไม่เคยซื้อที่ดินโดยตรงจากเจ้าของ แต่ให้บริษัทในเครือมาซื้อ แล้วก็ทำธุรกรรมอำพรางจนทำให้มีราคาที่ดินสูงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัท แสนสิริ เคยมาติดต่อซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มาแล้ว แต่ไม่ขายให้เนื่องจากติดสัญญาซื้อขายกับบริษัทอื่นอยู่ และได้ขายไปให้กับบริษัทดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยืนยันว่าการที่ออกมาเปิดเผยในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินกับบริษัทแสนสิริ และไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับนายเศรษฐา แต่เป็นการออกมาพูดเพื่อประโยชน์สาธารณ ที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
หลังจากนี้ก็จะนำเรื่องดังกล่าวส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. กรมสรรพากร และประธานรัฐสภา ตรวจสอบความผิดปกติของการหลีกเลี่ยงภาษีของนายเศรษฐา ซึ่งถือว่าทำให้รัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท ต่างจาก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้ว่าจะถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อ 42,000 หุ้น แต่ยังไม่ทำความเสียหายให้กับประเทศ
นายชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ในไทย มักจะหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีนี้ แต่บริษัท แสนสิริ ทำเยอะกว่าบริษัทอื่น จึงไม่เห็นด้วยที่จะเสนอให้นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่านายชัยเกษม นิติสิริ ที่มีชื่อเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย และมีอายุมากแล้วคงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ส่วนนางสาวแพรทองธาร ชินวิตร เห็นว่า ยังมีเรื่องผลประโยชน์เรื่องของการทำทุกอย่างให้นายทักษิณ กลับไทย
เมื่อถามว่าทำไมถึงต้องเป็นคนออกมาแฉนายเศรษฐามีปัญหากันหรือไม่ นายชูวิทย์บอกว่า ซึ่งตนไม่ได้โกรธเคืองนายเศรษฐา แต่พรรคเพื่อไทยเกิดการตะบัตสัตย์พลิกขั้วตั้งรัฐบาล แล้วเอานายเศรษฐามาเป็นหุ่นเชิด การที่ตนออกมาพูดเพราะนายกฯประเทศไทยต้องมีความซื่อสัตย์ ซึ่งแฉครั้งนี้ยืนยันว่าแฉเพื่อชาติ จะเอาไปยื่นให้กับพรรคก้าวไกล เพื่อพิสูจน์ว่าก้าวไกลกล้าไหม เห็นบอกว่าอย่าลดขนาดนายทุนในประเทศ
ส่วนตัวคิดว่าความที่มีความเหมาะสม ความซื่อสัตย์ มากที่สุดคือนายชัยเกษม เพราะมีความเป็นนักกฎหมาย ซึ่งเดิมทักษิณ หญิงพจมาณเลือกนายชัยเกษม แต่ยิ่งลักษณ์ขอไว้ แน่นอนว่านายเศรษฐาได้ตั๋วปู
สำหรับการออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ นายชูวิทย์ ระบุว่าเป็นการแฉเพื่อชาติ และเป็นเพียงเรื่องแรก ยังมีอีก 9 เรื่อง ที่ยังรอการเปิดเผย ซึ่งนายชูวิทย์ได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ทั้งหมดแล้วรวม10 EP.