“มาริโอ้ เมาเร่อ”พระเอกชื่อดัง เข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดีครอบครองรถยนต์สวมทะเบียน
1 min readมาริโอ้ เมาเร่อ พระเอกชื่อดัง เข้าให้ปากคำกับ พนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. หลังจากถูกออกหมายเรียกเพื่อมาให้ปากคำกรณีที่ไปมีส่วนเชื่อมโยงกับการครอบครองรถยนต์ที่สวมทะเบียน โดยมาริโอ้มีกำหนดเข้าพบพนักงานสอบสวนในเวลา 10:00 น. วันนี้ และแอบสื่อมวลชนไปพบพนักงานสอบสวน ในเวลา 10.30 น. โดยขึ้นลิฟท์จากชั้นใต้ดินของอาคาร บช.สอท.
หลังให้ปากคำแล้วเสร็จ มาริโอ้ ไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด เพียงแค่ตอบคำถามสั้น ๆ กับสื่อมวลชนระหว่างเดินกลับว่า ไม่ได้กังวลอะไร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง ได้ให้ข้อมูลและหลักฐานกับทางพนักงานสอบสวนไปหมดแล้ว โดยอ้างว่าอยู่ในสำนวนไม่สามารถเปิดเผยได้
พลตำรวจตรี อำนาจ ไตรพจน์ รองผู้บัญชาการ สอท. เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการเรียกสอบพยานทั้งหมด 3 ปาก ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายรถกับมาริโอ้ คือ มาริโอ้ , นายก้องซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่ขายรถให้กับมาริโอ้ และพี่ชายของนายก้อง ส่วนความสัมพันธ์นั้น เนื่องจากก่อนหน้านี้มาริโอเคยซื้อเฟอร์นิเจอร์จากนายก้องจนมีความสนิทสนมและไว้ใจกัน แต่ไม่เคยซื้อขายรถกันมาก่อน โดยนายก้องได้เสนอขายรถ Benz G300 ให้กลับมาริโอ้ในราคา 1,500,000 บาท เมื่อเดือนธันวาคม 2565 โดยยังไม่ได้เห็นรถตัวจริง และมีการทำสัญญาวางมัดจำไว้ 500,000 บาทก่อน โดยมีกำหนดภายใน 60 วันจะต้องส่งมอบรถ แต่เมื่อถึงกำหนดก็ยังไม่ได้รถทางนายก้องจึงคืนเงินมัดจำให้กับมาริโอ้
จากการสอบสวนเบื้องต้นเชื่อว่า มาริโอ้น่าจะ ไม่ได้จงใจซื้อรถสวมทะเบียน แต่พนักงานสอบสวนก็จะต้องพิสูจน์ทราบให้ได้ว่ามาริโอ้ไม่ได้มีเจตนาจงใจที่จะซื้อรถเถื่อน แต่หากภายหลังพบว่ามีเจตนาก็ถือว่ามีความผิด ซึ่งจากการที่พบว่าเล่มทะเบียนรถคันดังกล่าวมีชื่อของมาริโอ้เป็นผู้ครอบครองคนสุดท้าย ทาง กรมการขนส่งทางบกจึงยังไม่อนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงโอนทะเบียน เพราะต้องตรวจสอบย้อนหลังที่มาว่ามีใครเคยเป็นผู้ครอบครองบ้าง
ส่วนพยานที่เป็นเจ้าของรถทั้ง 65 คัน ที่ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการสวมทะเบียนโดยแก๊ง 2 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกลุ่มไปก่อนหน้านี้นั้น พนักงานสอบสวนเรียกมาให้ปากคำไปเกือบหมดแล้ว เหลืออีก 2 คน ที่ อย่างมาพบไม่ได้เนื่องจากยังอยู่ต่างประเทศ
สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น เริ่มจากมาริโอ้ไปซื้อรถจากคนที่เชื่อใจซึ่งเป็นรุ่นพี่ แต่ไม่ได้ของ เขาก็คืนเงินมา แต่ทะเบียนเป็นชื่อตนแล้ว ตำรวจจึงติดต่อมาว่ารถคันดังกล่าวมีปัญหา อยากให้ไปให้ปากคำในฐานะพยาน ว่ารถคันนี้ได้มาอย่างไร เพื่อเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
สำหรับการซื้อรถคันดังกล่าว มาริโอ้ เคยบอกว่า ทั้งตนเองและรุ่นพี่ก็โดนหลอกเช่นกัน เบิ้องต้นทราบเพียงว่าเป็นการปลอมแปลงข้อมูลรถมาจากค้นขั้ว ซึ่งตนไม่ทราบรายละเอียดมากนัก เมื่อไม่ได้รถ รุ่นพี่ก็คืนเงินให้ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตน ก่อนซื้อรถทุกครั้งเก็จะตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้มีปัญหา โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 เดือนก่อน ซื้อรถราคาล้านกว่าบาท เห็นว่ามีเอกสารถูกต้องก็ไม่คิดว่ารถจะมีปัญหาอะไร ทำให้หลังจากนี้จะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิม
จากกรณีดังกล่าว ก่อนหน้านี้ตำรวจกองบัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกรมการขนส่งทางบก ได้เปิดปฏิบัติการพลิกถนนล่ารหัสโจรกรรม จับกุม 2 ตัวการใหญ่ คือ นายเสถียร เรืองสมุทร อายุ 38 ปี และนายศริสร สุทธิเจต อายุ 44 ปี ที่เจาะระบบกรมการขนส่งทางบก แก้ไขข้อมูลสวมทะเบียนรถ เพื่อให้ข้อมูลในระบบ MDM ของกรมการขนส่งทางบก ตรงกับข้อมูลรถที่ครอบครอง และข้อมูลในเล่มทะเบียนรถ ก่อนออกเล่มทะเบียนใหม่เพื่อนำไปขายต่อให้กับกลุ่มนิยมสะสมรถโบราณ ในราคาเล่มละ 5 แสนบาท ถึง 3 ล้านบาท และได้ขยายผลไปยังบรรดาผู้ซื้อและครอบครองรถยนต์ทั้ง 65 คัน มูลค่า 77 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในทะเบียนรถของกลางที่ยึดมาได้นั้น ตรวจพบว่ามี นายมาริโอ้ เมาเร่อ ดารานักแสดงชื่อดัง มีชื่อครอบครองทะเบียนรถ Benz G300 สีขาว พนักงานสอบสวน บช.สอท. จึงได้ออกหมายเรียกให้ นายมาริโอ้ มาให้ปากคำในฐานะพยาน
ขณะนี้ตำรวจตรวจสอบพบแล้วว่า ในแก๊งนี้ได้เจาะข้อมูลสวมทะเบียนรถไปจำนวน 65 คัน โดยในจำนวนดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ รถที่มีตัวตนจริงและทะเบียนพร้อม และอีกกลุ่มคือ มีแต่ทะเบียนรถ แต่ไม่มีตัวรถ ซึ่งขณะนี้ตำรวจยึดรถมาได้แล้ว 16 คัน
กรณีที่รถมีตัวตน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มของนักสะสมรถ แต่เนื่องด้วยรถบางรุ่น บางยี่ห้อนั้นหายากในประเทศไทย ต้องนำเข้าซากและขิ้นส่งนจากต่างประเทศ มาซ่อมแซมปรับปรุงให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ ก่อนจะสวมทะเบียนให้กลายเป็นรถที่ถูกต้อง ทำให้มีราคาสูงขึ้น ทำกำไรดี เป็นที่ต้องการของนักสะสม ซึ่งอยู่ระหว่างขยายผลติดตา