รอง ผบช.น.เผยเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา “นายเอ็ม” ผู้ต้องหาฆ่าลูกและฝังดิน เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
1 min read กรุงเทพมหานคร-รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา นายเอ็ม ผู้ต้องหาฆ่าลูกและฝังดิน เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง พร้อมประชาสัมพันธ์ประชาชนหากมีเบาะแสเด็กสองศพที่ยังไม่พบให้แจ้งข้อมูลตำรวจได้ทันที ยืนยันหากไม่พบก็สามารถที่จะเอาผิดได้เพราะพยานหลักฐานแน่นหนา
วันนี้เวลา 14.30 น.พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วย พลตำรวจตรีอรรถพล อนุสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 และพลตำรวจตรีธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล เรียกประชุมชุดทำงานคดีพ่อ-แม่ ร่วมกันฆ่าลูก 5 ศพ ที่ สน.บางเขน
โดยหลังประชุมนาน 1 ชั่วโมง 30 นาที พลตำรวจตรีนพศิลป์ เปิดเผยว่า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้มอบหมายให้มาประชุมเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ โดยล่าสุดเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ได้นำตัวนางสาวเจษฎาไปฝากขังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากเมื่อวานได้รับแจ้งผลตรวจกระดูก 12 ชิ้นที่ขุดเจอในจุดที่ผู้ต้องหาให้การว่าได้นำไปทิ้งไว้ว่าไม่ใช่กระดูกมนุษย์นั้น ชุดสืบสวนและชุดสอบสวนจึงได้สอบปากคำนางสาวเจษฎาใหม่
โดยหากอ้างอิงจากคำให้การที่นางสาวเจษฎารับสารภาพและชี้จุดที่นำลูก 2 คนไปทิ้งใน พื้นที่ สน.บางซื่อ เมื่อตรวจสอบก็พบว่าคำให้การตรงกับพยานหลักฐานที่พบ ดังนั้น ในเมื่อจุดที่ให้การว่านำลูกอีก 2 คนมาทิ้งในพื้นที่ สน.สายไหม มีความคลาดเคลื่อน ก็เป็นไปได้ว่าเกิดจากลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยนางสาวเจษฎาจำได้ว่าตอนที่นำมาทิ้งนั้น ลักษณะเป็นป่ากกและมีศาลพระภูมิ แต่เมื่อเทียบพิกัด พบว่าปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว เปลี่ยนเป็นปั๊มน้ำมันไปแล้ว
ดังนั้น การดำเนินการของตำรวจ ก็จะต้องตั้งหลักก่อนว่าจะค้นหาศพของเด็กทั้ง 2 รายนี้ได้อย่างไร เบื้องต้นจะเริ่มจากใช้วิธีการตรวจสอบโรงพยาบาลที่จะมีการนำส่งศพนิรนามไป หากมีผู้พบเจอในพื้นที่สายไหม คือ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งจากการตรวจสอบฐานข้อมูลดีเอ็นเอ ความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก ของนายส่องศักดิ์และนางสาวเจษฎา พบที่ตรงกันแค่ 2 ศพ ก็คือศพที่เจอในพื้นที่ สน.บางซื่อ จึงมีการตรวจสอบเพิ่มเติมไปที่ฐานข้อมูลของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ก็ไม่พบว่ามีศพที่มีดีเอ็นเอตรงกัน
นอกจากนี้ ชุดสืบสวนยังได้ไปสอบถามรถขยะในพื้นที่ สน.สายไหม ทราบว่า จะนำขยะไปส่งที่ท่าแร้ง พื้นที่ สน.คันนายาว และจะถูกคัดแยกไปที่กำแพงแสน ซึ่งชุดสืบสวนได้ลงพื้นที่ไปยัง 2 จุดดังกล่าวแล้ว และจะตรวจสอบกับฐานข้อมูลในโรงพยาบาลของทั้ง 2 พื้นที่ต่อไป ว่ามีศพนิรนามที่ดีเอ็นเอตรงกันหรือไม่
ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ได้สอบถามลูกสาววัย 12 ปี ของนางสาวเจษฎา ให้การว่า ได้เดินทางไปกับนายส่องศักดิ์และนางสาวเจษฎา ตอนไปทิ้งศพด้วยทุกครั้ง ลักษณะเป็นการนำใส่กล่องพลาสติกสีดำไปวางไว้ ไม่ได้ฝัง แต่ลูกสาวของนางสาวเจษฎา ให้การจุดที่ทิ้งไม่ตรงกัน โดยบอกว่าอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งชุดสืบสวนก็จะไปตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ ยืนยันว่าจะตามหาศพของเด็กทั้ง 2 คนอย่างเต็มที่
พลตำรวจตรีนพศิลป์ กล่าวอีกว่า ชุดสืบสวนสอบสวน ยังได้ลงพื้นที่ไปสอบถามประวัติของนายส่องศักดิ์กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งบิดาของนายส่องศักดิ์ ให้การยืนยันว่า ในช่วงปี 2540-2546 ลูกชายได้มีพฤติกรรมบังคับน้องสาวให้กินสารพิษ ถ้าไม่ทำกินก็จะถูกทำร้ายร่างกาย เมื่อตนผู้เป็นพ่อทราบ ก็ได้เข้าไปตักเตือนว่ากล่าว กลับถูกลูกชายใช้มีดไล่แทง จึงมีการไปแจ้งความ และตัดพ่อตัดลูกกันตั้งแต่ตอนนั้น
ขณะที่ภรรยาคนที่ 1 ให้การว่า ช่วงคบหากัน ปี 2545-2549 ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ / ภรรยาคนที่ 2 คบหากันปี 2552 แต่ไม่มีลูกด้วยกัน ให้การว่า ได้ถูกนายส่องศักดิ์ ใช้มีดจี้บังคับให้ไปจดทะเบียนสมรส และยังมีพฤติกรรมเตะ ต่อย ตี จนเจ้าตัวต้องแกล้งสลบ เพื่อไม่ให้ถึงแก่ชีวิต และปัจจุบันก็ยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน / ภรรยาคนที่ 3 ให้การว่า ไม่มีเหตุการณ์อะไรผิดปกติ
จนกระทั่งนายส่องศักดิ์มาคบกากับภรรยาคนที่ 4 คือ นางสาวเจษฎา มีลูก 5 คน เสียชีวิต 4 คน / และภรรยาคนที่ 5 คือ นางสาวสุนัน มีลูก 3 คน โดยจากการสอบถามมารดาของนางสาวสุนัน ให้การว่า นายส่องศักดิ์และนางสาวสุนัน ได้นำน้องโตโต้ ลูกชายคนสุดท้องมาฝากตนเลี้ยงไว้ โดย ตอนพามาก็มีร่องรอยบาดแผล ทราบว่าถูกนายส่องศักดิ์ทำร้าย เพราะโมโหง่าย และนายส่องศักดิ์ ยังเคยพูดกับนางสาวสุนันว่า “กูไม่ชอบ ไม่สนเด็กผู้ชาย” โดยนายส่องศักดิ์ ก็ไม่เคยมาเยี่ยมหรือส่งเสียค่าเลี้ยงดูเลย ซึ่งคำให้การนี้สอดคล้องกับมูลเหตุว่า ทำไมเด็กชายถึงเสียชีวิต
ส่วนประเด็นเรื่องการค้ามนุษย์ พนักงานสอบสวนได้ประสานกับ กระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. แล้ว โดยเด็กยังอยู่ความดูแลของกระทรวง พม. และไม่พร้อมให้ปากคำ ซึ่งพนักงานสอบสวนจะรวบรวมพยานหลักฐานว่าตั้งแต่แรกเกิดมา ว่าเด็กมีลักษณะเป็นอย่างไร โดยจากการสอบปากคำนางสาวเจษฎา ยืนยันว่า ช่วงปี 2564-2565 ที่นายส่องศักดิ์นำเด็กมาให้เลี้ยงดูนั้น เด็กยังปกติ แต่มีเชื้อราที่ปาก ซึ่งนางสาวเจษฎา ก็ยังสงสัยว่าทำไมอาการเยอะ และหายาม่วงมารักษาให้ ขณะที่นายส่องศักดิ์และนางสาวสุนัน ยังไม่เปิดปากตอบเรื่องนี้ โดยพนักงานสอบสวน จะเข้าไปสอบปากคำในเรือนจำเพิ่มเติม หลังได้ผลตรวจจากแพทย์นิติเวชว่าสาเหตุเกิดจากอะไร หากพบว่ามีการทำร้ายเด็กจนมีอาการปากแหว่งและอาศัยความพิการไปแสวงหาผลประโยชน์ ก็จะประสานกับเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. ทำการคัดแยกเหยื่อ หากเข้าองค์ประกอบความผิดค้ามนุษย์ ก็จะดำเนินคดีถึงที่สุด โดยนางสาวเจษฎาจะมีความผิดด้วย เพราะเป็นผู้เปิดเฟซบุ๊กโพสต์ขอรับบริจาค
พลตำรวจตรีนพศิลป์ ระบุด้วยว่า วันจันทร์ที่ 25 กันยายนนี้ พนักงานสอบสวนสน.บางเขน จะเดินทางเข้าพบนายส่องศักดิ์ ส่งแสง หรือ เอ็ม ในเรือนจำ เพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในส่วนคดีการเสียชีวิตของลูกชาย 2 คน ในท้องที่สน.บางซื่อ เมื่อปี2559 และปี2561 ประกอบด้วยข้อหา ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นให้รับอันตรายสาหัส ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ซ่อนเร้น ทำลายศพ ช่วยเหลือผู้อื่ให้มิต้องรับโทษ และทำลายศพที่ต้องชันสูตรพลิกศพ ส่วนพฤติการณ์ของนายส่องศักดิ์ เข้าข่ายเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องหรือไม่ ตำรวจอยู่ระหว่างพิจารณาตรวจสอบหลักฐานทางคดี เพื่อแจ้งข้อหา “ ร่วมกันฆ่าผู้อื่น “