หนุ่มสุดซวย!ตำรวจคีย์เลขบัตรประชาชนสลับกับผู้ต้องหา สุดท้ายโดนไล่ออกจากงาน
1 min readกรุงเทพมหานคร-หนุ่มสุดซวย ร้องสายไหมต้องรอด ทำงานอยู่ดีๆ กลับถูกบริษัทไล่ออกจากงาน เพราะบริษัทตรวจพบถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ เจ้าตัวถึงกลับงง ในชีวิตไม่เคยไปขโมยของใคร พอไปตรวจสอบพบ เมื่อปี 2564 ตนเองไปแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ แต่ตำรวจดันทำผิดพลาดเอาเลขบัตรประชาชน ของตนเองสลับกับของผู้ต้องหา
ผู้เสียหายในเรื่องนี้ ได้เดินทางมาขอความช่วยเหลือจาก นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้เข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ และอยากให้ช่วยหาทางออกให้ เนื่องจากตอนนี้ไปสมัครที่ไหนก็ไม่มีใครรับทำงาน
ผู้เสียหาย เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เมื่อปี 2564 มีนักศึกษาฝึกงานมา จากนั้นเด็กฝึกงานคนนี้ได้ขโมยของบริษัทไป เป็นซีพียู 23 ตัว และแรม 19 ตัว รวมมูลค่าความเสียหาย 249,170 บาท แล้วก็หนีไป ตนเองจึงได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของบริษัทให้ไปแจ้งความเอาผิดกับนักศึกษารายนี้ ที่ สภ.บางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในข้อหาลักทรัพย์ หลังจากแจ้งความเสร็จ ตนเองก็กลับมาทำงานตามปกติ
ต่อมา นายวีรภัทธ สุวรรณศรี ซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงาน ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน พร้อมกับแจ้งว่าตนได้เป็นผู้ลักเอาทรัพย์จริง โดยได้ขโมยเอาไปเมื่อประมาณ วันที่ 15 – 19 มีนาคม 2564 ในขณะที่กำลังฝึกงานที่บริษัทฯ โดยใช้ไขควงถอดจากคอมพิวเตอร์ จากนั้น ห่อใส่กระดาษทิชชู่ และใส่กระเป๋าสะพายข้าง ก่อนจะเดินออกจากบริษัทไป แล้วนำอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ขโมยมา ไปขายทางเฟซบุ๊ก โดยนายวีรภัทธ ได้มีการทำบันทึกข้อตกลงระหว่างตนและบริษัท จะรับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นให้กับทางบริษัท จนกว่าจะครบจำนวน และศาลก็ตัดสินไปแล้ว
จากนั้นตนได้ลาออกจากบริษัทเดิม และได้ไปสมัครงานที่บริษัทใหม่ ซึ่งก่อนเข้าทำงานนั้นบริษัทได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม แต่ก็ไม่พบว่าตนเคยถูกดำเนินคดี รวมทั้งตนได้ไปทำใบขับขี่รถบรรทุก ก็ไม่มีประวัติอาชญากรรมเช่นเดียวกัน
กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมพนักงานทุกคน ไปพบว่าตนเองมีประวัติถูกแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์ ตนเองก็ปฏิเสธไปว่าไม่เคยไปก่อนคดีที่ไหน และไม่เคยไปขโมยของใคร แต่บริษัทไม่ฟัง ได้ไล่ตนเองออกจากงานทันที
จากนั้นตนได้ลาออกจากบริษัทเดิม และได้ไปสมัครงานที่บริษัทใหม่ ซึ่งก่อนเข้าทำงานนั้นบริษัทได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรม แต่ก็ไม่พบว่าตนเคยถูกดำเนินคดี รวมทั้งตนได้ไปทำใบขับขี่รถบรรทุก ก็ไม่มีประวัติอาชญากรรมเช่นเดียวกัน
กระทั่งเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมพนักงานทุกคน ไปพบว่าตนเองมีประวัติถูกแจ้งความในข้อหาลักทรัพย์ ตนเองก็ปฏิเสธไปว่าไม่เคยไปก่อนคดีที่ไหน และไม่เคยไปขโมยของใคร แต่บริษัทไม่ฟัง ได้ไล่ตนเองออกจากงานทันที
ต่อมาตนเองได้ไปติดต่อที่ สภ.บางประอิน เพราะอยากรู้ว่า ประวัติที่ตนเองถูกแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ปรากฎว่า เป็นการทำผิดพลาดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับคดีที่ตนเองได้รับมอบอำนาจจากบริษัทไปแจ้งความข้อหาลักทรัพย์กับเด็กฝึกงานที่ขโมยของบริษัทในปี 2564 ตำรวจใส่เลข 13 หลักในบัตรประชาชนของตนเอง สลับกับชื่อนักศึกษาที่ฝึกงานที่ขโมยของไป ทำให้ชื่อตนเองกลายเป็นชื่อผู้ต้องหาแทน ตนเองจึงถามตำรวจว่า แบบนี้ผมจะต้องทำยังไงต่อไป ตำรวจตอบมาว่า “ ขอโทษ อาจจะสลับเลขบัตรประชาชน ซึ่งตนจะได้ถามกลับไปว่าแล้วใครจะรับผิดชอบผม ผมตกงานแบบนี้
จากนั้นตนได้ติดต่อไปยังพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ยืนยันว่า ไม่ได้ใส่ข้อมูลผิดแต่อย่างใด จึงได้มีการตรวจสอบประวัติในระบบของสภ. บางปะอิน ก็ไม่พบว่าตนเคยถูกดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ แต่พอให้ตำรวจตรวจสอบในระบบกองทะเบียนประวัติอาชญากรก็พบว่าเคยถูกดำเนินคดี
ขณะที่นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ระหว่าง สภ. บางปะอิน และ กองทะเบียนประวัติอาชญากร ต้องดำเนินการแก้ไขลบประวัติ เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับผู้เสียหาย
Loading…