ทนายตั้ม เปิดใจ หลัง “บิ๊กต่อ” หวนคืนเก้าอี้ ผบ.ตร. ขอโทษประชาชนที่ทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ
1 min readนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ เปิดใจหลัง นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวเรื่องผลสอบวินัยเกี่ยวกับความขัดแย้งของสองบิ๊กตำรวจคือ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยระบุว่าการที่คณะกรรมการไม่เขียนในรายงานตัดสินว่าใครมีความผิดและโยนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อ ทนายตั้มระบุว่าคนที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและเป็นคนคุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติพูดง่ายมาก ยกตัวอย่างคดีที่ สน.เตาปูน พนักงานสอบสวนก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ จึงเชื่อว่าตำรวจเหล่านี้คงไม่กล้าดำเนินคดี ส่วนนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าของรัฐบาลและมีอำนาจกลุ่มสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับปล่อยให้ผลการตรวจสอบของคณะกรรมการระบุว่ามีความขัดแย้งกันจริง แต่ไม่ได้ดูรายละเอียดว่าใครผิดหรือถูก และสุดท้ายก็ให้แยกย้ายกันไปโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงความอึดอัดของผู้ใต้บังคับบัญชา ถือว่าเป็นการลอยตัวเหนือปัญหา
ส่วนการมีคำสั่งให้พลตำรวจเอกต่อศักดิ์กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทนายตั้มรู้สึกว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มี ผบ.ตร. ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งเดิมได้ ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์สิ่งที่ตนเองเคยแจ้งความแล้วร้องเรียนไป ซึ่งก่อนหน้านี้ตนได้ไปแจ้งความที่ สน.เตาปูน และคณะกรรมการอีก 3 คณะ ซึ่งได้นำเอกสารหลักฐานไปมอบไห้เพื่อพิสูจน์ทราบ และพยานบุคคล เช่น ได้พาพยานที่เป็นสายลับ มีหน้าที่เก็บเงินจากเว็บพนันส่งส่วยให้พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ และภรรยา ไปให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่มีนายฉัตรชัยพรหมเลิศอดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานทำการไต่สวนตรวจสอบ แต่ปรากฏว่า ก็ไม่มีรายงานระบุความผิดแต่อย่างใด ในส่วนคณะกรรมการตรวจสอบชุดอื่น และ สน.เตาปูน ก็ไม่มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน ทั้งที่ตนเองสามารถ หาหลักฐานเชื่อมโยงได้ว่าพลตำรวจเอกต่อศักดิ์พัวพันกับ 18 ธุรกิจสีเทา รวมถึงภรรยาของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ก็ได้รับเงินจากเว็บพนันออนไลน์หลักร้อยล้านบาท ทั้งที่ไม่มีอาชีพ อีกทั้งพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ก็ไม่ได้มีธุรกิจอะไรที่จะสามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ ในขณะที่คดีของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ทำได้อย่างรวดเร็ว มีความสองมาตรฐานอย่างชัดเจน
และส่วนตัวทราบมาว่ามีการดีลกันให้พลตำรวจเอกต่อศักดิ์และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กลับไปปฎิบัติหน้าที่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีนักการเมืองระดับชาติมาเสนอให้ตนยุติบทบาทโดยมีเงื่อนไขว่าจะดูแล ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการให้เงิน แต่ตนได้ปฏิเสธไปเนื่องจากตนออกมาแฉในฐานะทนายประชาชน
ทนายตั้มบอกอีกว่าวันนี้ตนรู้สึกอัดอั้นจึงอยากออกมาระบาย พร้อมยกมือไหว้ขอโทษประชาชนที่ทำภารกิจนี้ไม่สำเร็จ แต่อย่างไรก็ตามยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไป เพราะที่ผ่านมาตนเอาชีวิตของตนและครอบครัวเข้าแลก ซึ่งได้มีการระมัดระวังตัวมาโดยตลอด เพราะอาจถูกตามเช็กบิลได้ตลอดเวลา และหลังจากนี้จะเพิ่มความระมัดระวังตัวให้มากกว่าเดิม หลังจากพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ได้กลับมาเป็น ผบ.ตร. ซึ่งมีอำนาจในการคุมตำรวจทั้งประเทศ
นอกจากนี้ตนทราบมาอีกว่าการที่พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ได้กลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติครั้งนี้ เพราะเดือนหน้ามีภารกิจสำคัญ และคาดการณ์ว่าหลังภารกิจนี้เสร็จสิ้นพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ก็จะลาออกจากราชการ
ส่วนที่คณะกรรมการกฤษฎีกามีมติ 10 ต่อ 0 ให้ความเห็นว่า คำสั่งให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่รับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้น พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.เพราะเป็นผู้ที่ลงนามคำสั่ง ตนเชื่อว่าบิ๊กโจ๊กจะไปแจ้งความดำเนินคดีภายหลังแน่นอน แล้วตนก็เชื่อว่าพลตำรวจเอกต่อศักดิ์คงช่วยพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐไม่ได้ เพราะตนรู้นิสัยของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ดีว่า ”ใครทำเขา เขาเอาคืนอยู่แล้ว“
ผู้สื่อข่าวถามว่าการออกมาแถลงในวันนี้จะกระทบกับการลงสมัคร สว.หรือไม่ ทนายตั้มระบุว่าตนลง สว. ผ่านระดับจังหวัด ตอนนี้เข้าสู่ระดับประเทศแล้ว ยอมรับว่ามีขบวนการสกัดกั้นไม่ให้ตนเข้าไปมีอำนาจทางการเมือง แต่ตนจะได้เป็นหรือไม่ก็อยู่ที่บุญ วาสนา หากได้เข้าไปเป็น สว.ตนก็จะมีโอกาสทำประโยชน์ได้มากกว่าทุกวันนี้