สาวช๊อค เงินหายจากบัญชี 5 แสนเครียดหนักถึงขั้นกินน้ำยาล้างจาน ธนาคารปัดไปปัดมา
1 min readบุรีรัมย์-สาววัย 35 ปีถึงขั้นกินน้ำยาล้างจานหวังปริดชีพ เพราะเครียดที่เงินที่ฝากธนาคารหายไปกว่า 530,000 บาท สองธนาคารปัดกันไปมาพิสูจน์ไม่ได้ รู้เพียงว่าเงินถูกโอนไปประเทศจีนกับเวียดนาม โดยธนาคารชี้ว่าเราเป็นคนโอน แต่สาวระบุโอนไปทำไมไม่รู้จักใคร ยืนยันไม่เคยโอน วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบ
วันที่ 30 ก.ค.67 น.ส.เบญจวรรณ สุพะนาม อายุ 35 ปี อยู่เลขที่ 2 หมู่ 5 บ้านโคกกลาง ต.เมืองฝาง จ.บุรีรัมย์ ร้องผ่านสื่อว่า เงินหายจากบัญชีธนาคารไป 530,000 บาทแต่ธนาคารอ้างว่าเราเป็นคนทำธุรกรรมเอง ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริง และอยากให้ผู้รู้มาชี้แนะหาทางออกเพราะเกิดอาการเครียด น.ส.เบญจวรรณ เล่าว่าสามีไปทำงานอยู่ประเทศเกาหลี เมื่อประมาณ 6 ปีที่ผ่านมา ตอนแรกๆจะส่งมาให้ทางบ้านใช้จ่ายเดือนละประมาณ 40,000 บาท เข้าธนาคารของแม่ ผ่านไปประมาณ 2 ปี สามีบอกว่าเงินจะเอาเข้าบัญชีของตนซึ่งมีบัญชีธนาคารกรุงไทยอยู่แล้วเพื่อเก็บไว้สร้างบ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเงินที่สามีส่งมาจะเข้าบัญชีธนาคารที่ 1 ซึ่งสามีได้ส่งเงินมาเพิ่มเรื่อยๆจนกระทั่งเป็นเดือนละ 80,000 บาท และทุกครั้งที่เงินเข้าบัญชี หลังหักค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ทั้งค่าไฟ ค่าน้ำ และค่าส่งงวดรถเดือนละ 22,000 บาท ตนจะโอนผ่านแอป เข้าธนาคารที่2 ของตนอีกบัญชีหนึ่ง เพราะอยากจะเก็บไว้เป็นบัญชีเอกเทศเอาไว้สร้างบ้านตามที่สามีบอกมา ซึ่งล่าสุดมีเงินฝากบัญชีธนาคาร 560,000 บาท ล่าสุดน้าสาวมาขอยืมเงิน 200,000 สอบถามสามีแล้วบอกว่าให้ได้ วันที่ 21 ก.ค.ตนกับน้าสาวเดินทางไปเบิกเงินที่ธนาคารที่2 ถึงธนาคารเอาสมุดบัญชีไปปรับพบว่าเงินในบัญชีเหลือเพียง 30,000 บาทเท่านั้น จึงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ได้รับคำตอบว่าเป็นรายการโอนจากแอปของเราเองไปยังธนาคารเดิมคือธนาคารที่1 ตนได้ยืนยันกับธนาคารว่า “ฉันไม่ได้โอน”ธนาคารตอบกลับมาอีกว่าถ้าตนไม่ได้โอนจะต้องเป็นคนในบ้านเป็นคนโอน ตนก็แจ้งไปอีกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะที่บ้านอยู่กับพ่ออายุ 59 แม่อายุ 53 อาชีพทำนาทุกครั้งหากพ่อหรือแม่ จะโอนตนต้องเป็นคนโอน เพราะพ่อ-แม่ทำไม่เป็น ส่วนลูก 7 ขวบกับ 4 ขวบยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำธุรกรรมได้ เจ้าหน้าที่ธนาคารที่2 ยังบอกอีกว่าถ้าคิดจะไปแจ้งความให้ไปปรึกษากันดีๆก่อน เพราะเข้าข่าย”แจ้งความเท็จ” มีโทษจำคุกตนกับน้าสาวจึงกลับบ้านเพื่อมาปรึกษากับครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ยืนยันเช่นเดียวกันว่า “ไม่เคยโอนไม่รู้เรื่องการโอน” วันที่ 22 ก.ค.จึงเดินทางไปขอ Statement กับธนาคารที่1 และธนาคารที่2 ปรากฏว่าเงินที่ตนโอนเข้าธนาคาร 2 ถูกโอนกลับมายังธนาคาร ที่1 จริง แต่ที่ตนงงที่สุดคือ เงินจากธนาคาร1 ถูกโอนผ่านแอป ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาครั้งละ 10,000-20,000 บาท บางครั้ง 30,000 บาท ไปยังบัญชีประเทศจีนและประเทศเวียดนามเป็นเงินกว่า 530,000 บาท
ด้วยความมั่นใจจึงเดินทางไปแจ้งความกับตำราวจที่ สภ.เมืองบุรีรัมย์ ตำรวจตรวจสอบโทรศัพท์พบว่าเป็นการโอนจากแอปของเราเอง พูดเหมือนเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าไปปรึกษากันก่อนไหม ยังไม่กล้ารับแจ้งความเพราะหากผิดพลาดมาเรามีคดีแน่ น.ส.เบญจวรรณ เล่าอีกว่า ตอนนี้งงไปหมดตนจะรู้จักบัญชีต่างประเทศได้อย่างไร เพราะไม่เคยรู้จักหรือสั่งสินค้ากับคนต่างประเทศ กลับมาถึงบ้านนั่งคิดนอนคิดก็ไม่ออกว่าตนไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร เพราะตนเป็นปกติไม่เคยเล่นการพนัน วันนั้นพอกลับบ้านนอนไม่หลับ เวลาประมาณ 22.45 น.ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา บอกว่าเงินที่หายไปจากธนาคารไปนั้น อย่าพึ่งตกใจนะมันเป็นความผิดของทางธนาคาร เดี๋ยวทางธนาคารจะตรวจเส้นทางการเงินของน้อง วันพรุ่งนี้เวลาประมาณ 10.00-11.00 น.วันถัดไปธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีคืน ตอนนั้นรู้สึกโล่งอก ตอนหลับสนิท พอวันถัดมา(23 ก.ค.)นั่งรอนอนรอข้อความเงินเข้าแต่ไม่มีจนถึงบ่าย จึงเดินทางไปหาธนาคารอีก ธนาคารบอกว่า “เหมือนเดิม”คือไม่มีเงินเข้าออกแต่อย่างใด ทำให้ต้องคอตกกลับบ้านอีก ตอนนี้ตนเครียดมากอยากจะให้ธนาคารตรวจเช็คให้ละเอียดอีกครั้ง หรือหน่วยงานใดมาให้ความรู้หาแนวทางช่วยเหลือตนเองด้วย ปกติเงินที่โอนออกโอนเข้าผ่านทางแอปของตน จะมีข้อความเข้ามา แต่ทำไมเวลาโอนไปต่างประเทศ “เราไม่รู้” น.ส.เบญจวรรณ บอกด้วยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเครียดถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย กินน้ำยาล้างจานเข้าไป นอนอยู่ที่โรงพยาบาล 1 คืน เพราะเครียดไม่รู้จะไปพึ่งใครได้ ทุกหน่วยงานดูหลักฐานแล้วบอกว่าเป็นเพราะเราเองซึ่ง “มันเป็นไปไม่ได้”
ภาพ/ข่าว วาทิตย์ แสนธุปี ทีมข่าวบุรีรัมย์