ช็อกทั้งหมู่บ้าน! หนุ่มวัย 45 ถูกช้างป่าอ่างฤาไนเหยียบดับกลางไร่อ้อย

ปราจีนบุรี – เกิดเหตุสะเทือนใจในพื้นที่ใกล้เขตอนุรักษ์สัตว์ป่าอ่างฤาไน เมื่อชายวัย 45 ปี ถูกช้างป่าเข้าทำร้ายจนเสียชีวิตกลางไร่อ้อย เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและตื่นตระหนกให้กับชาวบ้านในพื้นที่ที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาช้างป่ามาอย่างยาวนาน

เวลา 11.00 น. วันที่ 15 ธันวาคม 2567 ร.ต.อ.ถิรวัฒน์ เยี่ยมอ่อน รองสารวัตรเวรสอบสวน สภ.กบินทร์บุรี ได้รับแจ้งเหตุชายถูกช้างป่าทำร้ายเสียชีวิตในพื้นที่ไร่อ้อย ติดกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งใน อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อไปถึงจุดเกิดเหตุ พบศพชายในสภาพนอนหงาย กะโหลกศีรษะแตก ร่างกายผิดรูป ข้างตัวมีอุปกรณ์ตกปลาวางอยู่ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นายทศพร เพียงอนุกูลบุตร อายุ 45 ปี ห่างออกไป 30 เมตร พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฟีโน่ สีดำของผู้ตายจอดอยู่

นายเผด็จ แท่งดี ผู้เห็นเหตุการณ์ เผยว่า ช่วงเช้าได้เดินเข้ามาในไร่อ้อยเพื่อพบกับผู้ตาย ระหว่างทางเห็นช้างป่าอยู่บริเวณดังกล่าว จึงรีบเดินไปแจ้งเตือนนายทศพร แต่ไม่ทันการณ์ เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าผู้ตายถูกช้างทำร้ายเสียชีวิตแล้ว

พี่ชายของผู้ตาย นายฤทธิ์ณรงค์ เพียงอนุกูลบุตร กล่าวว่า เมื่อเช้าตนได้รับโทรศัพท์แจ้งข่าวร้ายว่าผู้เป็นน้องชายถูกช้างทำร้ายจนเสียชีวิต เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุด้วยตัวเองก็พบภาพอันน่าสลดใจ ทำให้รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง พร้อมตั้งคำถามถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาช้างป่าได้

ด้านนายเนย สุขประเสริฐ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยภาคตะวันออก กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “ช้างป่าเป็นปัญหาที่ชาวบ้านต้องเผชิญมานานกว่า 4 ปี ไม่เพียงแค่สร้างความเสียหายต่อพืชผล แต่ยังคร่าชีวิตคนในพื้นที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

นายเนยระบุว่า “ทุกวันนี้ชาวบ้านต้องอยู่กันอย่างหวาดระแวง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ผมในฐานะนายกสมาคมชาวไร่อ้อยขอเรียกร้องให้รัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เร่งแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ส่งงบประมาณหรือมาตรการชั่วคราวที่แก้ไม่ได้ตรงจุด”

เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ช้างป่าทำร้ายชาวบ้านในพื้นที่ แต่ทุกครั้งเรื่องก็เงียบหายไป ชาวบ้านยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความเสี่ยง และเหตุสลดครั้งนี้อาจเป็นคำเตือนครั้งสำคัญที่ต้องการการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากรัฐบาล

ชีวิตของนายทศพรที่จากไป ได้ฝากคำถามสำคัญถึงทุกฝ่ายว่า “ใครจะเป็นรายต่อไป หากยังไม่มีการแก้ไขปัญหานี้อย่างเด็ดขาด?”