กบินทร์บุรีผวา!! โซเซียลโพสต์ “ผีน้อย” โผล่รับลูกไม่ยอมกักตัว เกรงเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 แถมครูไล่ลูกไม่ให้สอบ
1 min readดราม่าหนัก!! กบินทร์บุรี พิษไวรัสโควิด19 พ่นพิษครูไล่ตะเพิดนักเรียนลูกผีน้อยกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงไม่ให้เข้าห้องสอบ ถูกโลกโซเซียลโพสต์ถล่มยับ
กบินทร์บุรี ผีน้อย กลับจากเกาหลีเมื่อวาน(5 มี.ค) ไม่กักตัวเอง นางไปหาลูกตัวเองที่ รร.(รร.ในตลาด)จร้า แถมอยู่กับคนในครอบครัวอีก ยอกก็ไม่ฟัง เห็นแกตัวจริงๆ อีกโพส”COVID19 #ตลาดกบินทร์ กลับมาจากประเทศเกาหลี ไปรับลุูกที่เจียหมิน ซอยบ้านแขก ฝากสาสุขดูแลด้วยครับ ถ้าไม่มีวินัยกักตัว จะพาคนอื่นตายกันหมด”
หลังจากนั้นได้มีคนเค้าไปคอมเม้นต์ต่างๆนาๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อมาทางผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ โรงเรียนเจียหมิน พบว่าทางโรงเรียนกำลังมีการใช้รถดับเพลิงทางเทศบาลฉีดล้างพื้นโรงเรียน เพื่อทำความสะอาดโดยอ้างว่าเป็นโครงการของทางโรงเรียน ซึ่งนายอำเภอ สาธารณสุขโร่ตรวจสอบถึงบ้านแล้วไม่พบไข้ขึ้นสูง วอนสังคมตรวจสอบก่อนโพส สร้างความไม่เข้าใจให้กับสังคมทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหาย และที่รังเกียจของสังคม
โดยเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2563 นายวัลลภ ประวัติวงศ์ นายอำเภอกบินทร์บุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี หลังจากที่มีโลกโซเซียลโพสต์ว่ามีผีน้อยกลับจากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงจากเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้ประชาชนเกิดความตระหนกและหวาดกลัวกับเชื้อไวรัสโควิด19 โดยเฉพาะในเขตเทศบาลตำบลกบินทร์ รวมทั้งพื้นที่ใกล้เคียง
จากการตรวจสอบพบว่า “ผีน้อย”คนดังกล่าว เป็นหญิงสาวที่กลับจากประเทศเกาหลีใต้ อยู่หมู่. 6 ต.กบินทร์ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี อยู่พร้อมครอบครัวอย่างมีความสุข โดยไม่มีใครหวาดกลัวกับเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่กำลังระบาดแต่อย่างใด พร้อมกับซักถามประวัติเบื้องต้นและตรวจวัดไข้พบว่าอุณหภูมิในร่างกาย 36.5 องศาฯถือว่าปกติ ทำให้ทุกคนต่างโล่งอกไม่เป็นความจริงกับโลกโชเชี่ยวที่โพสแต่อย่างใด
ด้าน น.ส.ศศิกาญดา พูนสะสมทรัพย์ อายุ 26 ปี ผีน้อยหรือผู้ใช้แรงงานประเทศเกาหลี เปิดเผยว่า ได้ไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้เมื่อ 10 เดือนก่อน หลังจากนั้นก็ขอลางานเพื่อกลับบ้านที่ประเทศไทยขณะนั้นเป็นช่วงที่ไวรัสโควิด 19 กำลังระบาดพอดี ซึ่งทางผู้ประกอบการที่นั้นปิดตัวลง ซึ่งก่อนกลับได้ถูกทางการเกาหลีใต้กักตัวไว้เพื่อรอดูอาการกว่า 14 วันก่อนขึ้นเครื่อง พบว่าไม่มีไข้สูงจึงให้เดินทางกลับประเทศไทยได้ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 63 ที่ผ่านมาซึ่งเมื่อมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็ได้มีการตรวจตามขั้นตอนของหน่วยงาน จนตนกลับบ้านได้ คิดว่าตัวเองปลอดภัยระดับหนึ่งเพราะตัวเองไม่มีไข้ และทางหน่วยงานไม่มีการกักตัว เมื่อมาถึงบ้านใช้ชีวิตตามปกติอยู่กับครอบครัวและญาติพี่น้องพ่อแม่ จนมีเมื่อวานมีกระแสโลกโซเซียสโพสต์หาว่าตนไปหาลูกที่โรงเรียน โดยไม่ยอมกักตัว จนเกิดความเสียหาย
ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือลูกชาย ที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป. 3 โรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นโรงเรียนเอกชน ในเขตเทศบาลตำบลกบินทร์ หลังจากที่เธอกลับมาโลกโซเซียลโพสว่าเธอได้เข้าไปหาลูกชายที่โรงเรียน ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้เข้าไปในโรงเรียนเลย มีเพียงแต่แม่ย่าเข้าไปรับหลานอยู่ที่ตลาดกบินทร์ เท่านั้น
จากนั้นก็ได้รับการติดต่อจากครูประจำชั้นให้ไปพบที่โรงเรียน ทีแรกเธอก็ไม่อยากไปกลัวจะมีปัญหากับทางโรงเรียน แต่ครูประจำชั้นขอร้องให้ไปพบให้ได้จึงตัดสินใจไปพบ แต่เมื่อไปถึงครูประจำชั้นก็เข้ากอดลูกชายพร้อมกล่าวว่า”แม่กลับมาแล้ว” เหมือนกับรังเกียจเด็ก พร้อมกับโทรแจ้งๆหน่วยงานต่างๆทำไมถึงทำให้เป็นเรื่องใหญ่ พร้อมบอกว่าไม่ให้ลูกหนูไปสอบ ไม่ให้ลูกหนูสอบก็ไม่เป็นไรหนูไม่รู้ว่าโรงเรียนมีเชื้อโรคอะไรหรือเปล่า กับโพสว่าหนูไปรับลูกกลับไปแล้วและไม่ได้กักตัวนั้นไม่เป็นความจริง แต่ทางครูพยามโทรให้ไปพบผู้อำนวยการให้ได้หนูก็บอกว่าให้รอก่อน หนูก็เข้าไป แต่คนที่ไปรับลูกหนูคือย่า เมื่อไปถึงครูกับเสียงดังใส่ หนูบอกว่าทำไมเสียงดังใส่หนูเขาบอกว่ากลัวตาย แต่กลับว่าหนูเป็นคนทำให้เดือดร้อนว่าเด็กกำลังจะสอบ และให้ลูกหนูมาสอบวันเปิดเทอม หนูก็บอกว่าน่าจะทำความสะอาดโรงเรียนตั้งนานแล้วเชื้อโรคมันเยอะ และน่าจะปิดโรงเรียนด้วย จากนั้นเขาก็โทรแจ้งสาธารณสุข จนมีการโพสต่อว่าตนต่างๆนาๆ ตนคิดว่าคนไทยเราเองนั้นแหละที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้เท่าไหร่ และอยากให้สังคมไทยเข้าใจด้วยว่าหากเรามีการติดเชื้อจริงประเทศเค้าก็คงไม่ส่งให้เรากลับมา เค้าจะรับรักษาเราจนหาย วอนให้เข้าใจในสิ่งนี้
ทางด้านสามีของนางสาวศศิกาญดา กล่าวว่า ตนมีความมั่นใจ 100%ว่าไม่มีการติดเชื้อไวรัสCOVID คือหลังจากจากที่กลับมาก็ใช้ชีวิตตามปกติ ตอนนี้ได้รับผลกระทบ เมื่อวานนี้หลังจากมีการโพสต่อว่า เรื่องลูกไปโรงเรียน ซึ่งคนเราไม่รู้จักกันอย่าโพสต่อว่ากันขนาดนี้เลย ไม่เข้าใจ ทำให้สังคมรังเกียจครอบครัวของตน และอยากให้คนที่โพสช่วยแก้ไขข้อมูลด้วยเพราะภรรยาตนเองกลัยมาผ่านขั้นตอนทุกอย่างของทางราชการแล้ว เพราะถ้ามีเชื้อคงไม่ได้กลับมาถึงนี้ เราไม่ได้นิ่งเฉยกับสังคม เรารู้ว่าควรทำตัวอย่างไร วอนให้เข้าใจ
ด้านนายวัลลภ ประวัติวงศ์ นายอำเภอกบินทร์บุรี กล่าวว่า”หลังจากทราบเรื่อง ในโลกโซเซียลแล้วได้ลงพื้นที่ตามมาดูพบว่ามีความจริงแตกต่างกัน ซึ่งในโลกโซเซียลบอกว่าไปส่งลูกที่โรงเรียนนั้นไม่เป็นความจริง ที่เข้าไปนั้นเพราะครูประจำชั้นเป็นคนโทรตาม เข้าไปพูดคุยเท่านั้น ฉะนั้นในส่วนของทางอำเภอจะได้มีการสอดส่องเฝ้าระวังโดยให้ทาง ผู้ใหญ่บ้านและ สาธารณสุขเข้ามาดูและบุคคลที่กลับมาจากประเทศสุ่มเสี่ยง ซึ่งทางโรงพยาบาลเองมีห้องสำหรับผู้ที่เดินทางกลับมาโดยเฉพาะไว้รองรับในการกักตัวหรือช่วงเฝ้าระวัง สิ่งที่ระวังโรคสูงสุดไม่ให้ติดอยู่แล้ว ถ้าติดก็จะไม่อยู่บ้านนี้แล้วทีนี้เรามั่นใจว่าไม่เป็นและไม่ป่วยอะไร โรคนี้ไม่ใช่โรคที่เราทำผิดอะไรเป็นโรคที่เกิดฝุ่นละออง ไม่เหมือนกับโรคอื่นที่เป็นโรคน่าละอายเพราะมันเกิดจากฝุ่นละอองทางอากาศ ใครก็มีโอกาสติดได้ และเชื่อมั่นว่าไม่ได้ติดโรคนี้เพราะรักครอบครัว ถ้าเป็นคงไม่อยู่ที่นี่แน่ๆเชื่อว่าไม่ได้เป็นอะไร มีการป้องกันตัวเองเป็นอย่างดี ทั้งนี้ทางทีมแพทย์ยังคงจะส่งหน่วยงานเข้ามาวัดไข้โดยตลอดจนครบตามกำหนด พร้อมกับให้กำลังใจกับครอบครัวดังกล่าว
ข่าว-ภาพ สายชล หนูแดง/ ทัตธน เหล่าหล้า ปราจีนบุรี