“บิ๊กตู่” ยันไม่จำเป็นต้องกักตุนอาหาร รัฐบาลมีมาตรการรับมือโควิด-19
1 min readผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประชุมวันนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานตามมาตรการของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องหน้ากากอนามัย ทั้งปริมาณนำเข้า-ส่งออก และความต้องการภายในประเทศ โดยได้สั่งเพิ่มมาตรการส่งเสริมหน้ากากอนามัยให้เพียงพอตามความของการประชาชนทั้งการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ และผลิตหน้ากากทางเลือกสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าไปยังพื้นที่เสี่ยง
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้หารือเตรียมรับมือหากต้องยกระดับสถานการณ์การแพร่ระบาดเป็นระยะที่ 3 เพื่อรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สุขภาพประชาชน โดยได้เตรียมสถานที่ไว้เพื่อเปิดเป็นศูนย์เฉพาะกิจสำหรับการรักษาพยาบาลโรคนี้ โดยเฉพาะหากมีการประกาศ
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ขอร้องว่าขณะยังไม่ถึงขั้นต้องกักตุนสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะรัฐบาลได้มีมาตรการรับมือตามข้อเสนอแนะของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไว้หมดแล้ว ส่วนข้อเสนอการตรวจรักษาฟรีนั้น ยืนยันว่าผู้ที่มีความเสี่ยง สามารถเข้ารับการตรวจเพื่อรักษาได้ฟรีทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน โดยจะถูกจัดอยู่ในประเภทเดียวกับกลุ่มยูเซป ในลักษณะผู้ป่วยวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาฟรีภายใน 72 ชั่วโมง ยืนยันไม่ได้ทำงานล่าช้า แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นนานแล้ว จึงต้องใช้เวลาทำตามขั้นตอน
ด้าน นายแพทย์ รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข บอกถึงการรักษาฟรีภายใน 72 ชั่วโมงว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยเมื่อมีอาการป่วยสามารถใช้สิทธิประกันสังคมเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีสิทธิได้ทันที โดยเฉพาะบุคคลที่มีประวัติเสี่ยงจะติดไวรัส สามารถเข้ารับการรักษาฟรีได้ทุกโรงพยาบาลรวมถึงโรงพยาบาลเอกชน แต่หากเป็นบุคคลที่ไม่มีอาการ ก็ไม่จำเป็นต้องไปตรวจเพราะจะต้องเสียค่าบริการ โดยสามารถติดต่อไปยังกรมควบคุมโรค 1422 ซึ่งทุกวันนี้มีกลุ่มเสี่ยง 40-270 ราย พร้อมยืนยันว่าผู้ป่วยโควิด-19 ส่วนใหญ่อาการไม่หนักสามารถรักษาได้ แต่ก็ได้เตรียมระบบรองรับผู้ป่วยหนัก สามารถส่งตัวไปยังโรงพยาบาลบำราศนราดูรได้
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์รุ่งเรือง ไม่ได้ยืนยันว่า สถานการณ์ในประเทศไทยจะไปถึงระยะ 3 หรือไม่ เพราะไม่ว่าระดับใดสิ่งสำคัญในตอนนี้คือเปลี่ยนความกลัวเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ร่วมรับผิดชอบกับสังคม จึงไม่มีความจำเป็นต้องกักตุนสินค้า และอีกไม่นานนี้จะมีวัคซีนที่คาดว่าจะใช้เวลาในการพัฒนา 6 เดือน – 1 ปี หลังการแพร่ระบาด ดังนั้นสื่งสำคัญในวันนี้คืออย่าแชร์ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบเพราะจะส่งผลต่อสุขภาพจิตซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่มากกว่าการแพร่ระบาด และขอว่าอย่ารังเกียจแรงงานไทยที่มาจากต่างประเทศ เพราะได้ผ่านการคัดกรองทั้งจากต้นทางและในประเทศมาเป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีระบบติดตามตัวเมื่อส่งกลับบ้านแล้ว จึงพูดได้ว่ามาฐานในการดูแลของไทยสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้.