ตัวแทนชาวสังขละบุรี และทองผาภูมิ ที่ได้รับผลกระทบกรณีอุทยานแห่งชาติเขาแหลมประกาศทับที่ทำกิน กว่า 4,000 ครัวเรือน เข้ายื่นหนังสือร้อง ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
1 min readตัวแทนชาวสังขละบุรี และทองผาภูมิ ที่ได้รับผลกระทบกรณีอุทยานแห่งชาติเขาแหลมประกาศทับที่ทำกิน กว่า 4,000 ครัวเรือน เข้ายื่นหนังสือร้อง ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน เพื่อช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาท
วันที่ 5 มิ.ย. 2563 เวลา 10.30น. ที่อาคารรัฐสภา นายสุวรรณ บัวโรย เลขานุการอนุกรรมาธิการศึกษากระบวนการยุติธรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับปัญหาข่มขืน ที่ปรึกษากรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติ นำตัวแทนชาวบ้านจาก อ.สังขละบุรี และอ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ที่ได้รับผลกระทบกรณีที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมประกาศทับที่ทำกิน กว่า 4,000 ครัวเรือน เข้ายื่นหนังสือร้อง ประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน
โดยมี ท่าน ส.ส.อุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม รองประธานกรรมาธิการคนที่1 ท่านส.ส.สัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ รองประธานกรรมาธิการคนที่ 3และท่าน ส.ส.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ โฆษกรรมาธิการ รับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้าน เพื่อช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาท กรณีที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมประกาศที่ทับซ้อน นิคมสหกรร์สังขละบุรีและทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ภายหลังจากการรับหนังสือร้องเรียนจากชาวบ้านคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจราณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน แจ้งกับชาวบ้านและสื่อมวลชนว่า คณะกรรมาธิการได้มีมติเห็นชอบกำหนดแผนการลงพื้นที่ศึกษาดูงานของคณะทำงานแต่ล่ะภาค ซึ่งเขตพื้นที่ภาคกลาง ภาคตะวันตก และภาคตะวันออก จะนำโดยนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เป็นประธานคณะทำงาน จะลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่26-27มิถุนายน2563
สืบเนื่องจากมีประชาชน ชาวอำเภอสังขละบุรีและทองผาภูมิ เรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานภาครัฐ มากว่า 29 ปีตั้งแต่ พ.ศ 2534 เป็นต้นมา หลังจากอุทยานแห่งชาติเขาแหลมประกาศทับซ้อนในเขตนิคมสหกรณ์ฯ ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในเขตนิคมสหกรร์สังขละบุรีและทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กว่า 4,000 ครัวเรือนได้รับผลกระทบเนื่องจากเจ้าหน้าที่อุทยานบังคับใช้กฎหมายจับกุม ฐานบุกรุกอุทยานกับพี่น้องประชาชน ตลอดเวลาที่ผ่านมายังไม่มีหน่วยงานไหนแก้ไขปัญหาของชาวบ้านได้ จึงข้อร้องขอความอนุเคราะห์ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินให้ช่วยเหลือ
เพื่อขอสิทธิที่อยู่ที่ทำกิน ตามที่มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสหกรณ์ ทองผาภูมิและ สังขละบุรี พ.ศ. 2518 ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้ประกาศ พื้นที่อำเภอทองผาภูมิและ สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้ง นิคมสหกรณ์ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 192 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งที่ดิน เพื่อให้เจ้าหน้าที่สหกรณ์ได้มีการจัดสรรปันส่วนที่ดิน ที่ทำกินให้กับประชาชนให้ครอบครัว ละ 50 ไร่ ซึ่งในการประกาศกฤษฎีกาดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ 2 อำเภอ เนื้อที่กว่า 200,000 ไร่ หลังจากประกาศพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ทำให้พี่น้องประชาชนชาวอำเภอทองผาภูมิและ สังขละบุรี ได้มีที่อยู่ที่ทำกิน และทำการเกษตร เรื่อยมาโดยตลอด อยู่อย่างปกติสุข
จนกระทั่ง วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2522 มีพระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินบางส่วน เป็นเวลา 5 ปี เพื่อสร้างเขื่อนเขาแหลม ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ทำการเวนคืนที่ดิน บริเวณลำน้ำแควน้อย บริเวณเขาแหลม ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จ.กาญจนบุรี
ซึ่งในการเวนคืนที่ดินดังกล่าว ได้มีการจัดสรรที่ดินให้กับประชาชน เพื่อ เป็นที่ทำเกษตร แลกที่อยู่อาศัย ครอบครัวละ 15 ไร่ พร้อมกับให้เงินชดเชยบางส่วน ในการสร้างเขื่อนดังกล่าว มีระยะเวลาในการก่อสร้าง ประมาณ 7 ปี ซึ่งได้มีการกักเก็บน้ำได้ประมาณ ปี พ.ศ.2527 เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า แต่ก็มีพื้นที่ บางส่วน เมื่อกักเก็บน้ำเต็มระดับแล้วน้ำท่วมไม่ถึง ทำให้ประชาชนในพื้นที่ อาศัยอยู่ตามเกาะต่างๆ ตามแนวขอบเขื่อน และพื้นที่เดิมบริเวณที่น้ำท่วมไม่ถึงตน ซึ่งประชาชนยอมรับเข้าใจดีว่า จะไม่ได้รับค่าชดเชยกรณีมีน้ำท่วมพืชผลทางการเกษตร หากอยู่ต่ำกว่าความสูงระดับน้ำทะเล 160 ลงมา แต่ถ้าอยู่สูงกว่าระดับ 160 ขึ้นไปจะได้รับค่าชดเชยจากรัฐ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ก็ยอมรับเข้าใจเงื่อนไขดี โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้ อาณาเขต ของนิคมสหกรณ์ทองผาภูมิและ สังขละบุรี
จนกระทั่งเมื่อ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2534 ทางอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้ประกาศพื้นที่ บริเวณ ป่าเขาช้างเผือก ป่าเขาพระฤๅษี ป่าเขาบ่อแร่ ป่าเขาห้วยเขยง ในท้องที่ตำบล ไล่โว่ ตำบลหนองลู ตำบลบางเขน อำเภอสังขละบุรี และตำบลชะแล ตำบลปิเลาะ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรีให้เป็นอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ซึ่งแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ครอบคลุมพื้นที่ เกือบทั้งหมด ของกฤษฎีกานิคมสหกรณ์ สังขละบุรีและทองผาภูมิ หลังจากมีการประกาศพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมครอบคลุมพื้นที่นิคมสหกรณ์สังขละบุรีทองผาภูมิ เจ้าหน้าที่อุทยานได้บังคับใช้กฎหมาย กับประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวทั้ง 2 อำเภอ ซึ่งมีประชากรกว่า 4,000 ครัวเรือนอาศัยอยู่ ทำให้เจ้าหน้าที่อาศัยอำนาจตามกฎหมายอุทยาน ทำการบังคับจับกุม ผู้ที่บุกรุก และอยู่อาศัย ในพื้นที่ดังกล่าว นอกเหนือที่ทาง การไฟฟ้าได้มีการจัดสรรที่ไว้ให้ ทำให้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีกลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการบังคับใช้กฎหมายอุทยาน ได้มีการเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานภาครัฐ เรื่อยมา กว่า 29 ปี ซึ่งการเรียกร้องดังกล่าว ประชาชนเรียกร้อง ขอใช้สิทธิ์ ว่าพวกตนเองอยู่ในเขต นิคมสหกรณ์ทองผาภูมิและสังขละบุรีตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2518 ซึ่งพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2518 ยังไม่มีการยกเลิกเพิกถอนการปรับปรุงแก้ไขแนวเขต และเพิกถอนแผนที่แนบท้ายกฤษฎีกาดังกล่าวแต่อย่างใด ยังคงยึดถือแผนที่แนบท้ายเดิม ตามที่นายจิรศักดิ์ เงินเส็ง ปฏิบัติหน้าที่ราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริม ได้ทำหนังสือตอบกลับผู้ร้องเรียนว่า ให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ นิคมสหกรณ์ ทองผาภูมิและสังขละบุรี สามารถประกอบอาชีพและใช้พื้นที่ได้ เพื่อบรรเทาปัญหาความขัดแย้งระหว่างอุทยานแห่งชาติเขาแหลม กับประชน แต่ต้องไม่ขัดกับกฎหมายอื่น จนกว่าจะมีการสำรวจสิทธิ์ชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้น เป็นการครอบครองของใคร โดยใช้ การปรับปรุงแนวเขต ที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตรา 1 ต่อ 4,000 หรือ One Map แต่การประกอบสัมมาอาชีพของพี่น้องประชาชนอยู่ในเขตพื้นที่ดังกล่าว ก็ยังได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เรื่อยมา จะทำการต่อเติมซ่อมแซมบ้านก็ไม่ได้ หรือจะไปเก็บเกี่ยวผลผลิตที่มีการเพาะปลูกไว้ ก็จะถูกเจ้าหน้าที่ บังคับใช้กฎหมาย โดยอ้างว่าบุกรุกอุทยาน ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่อุทยานใช้กฎหมายใดในการบังคับจับกุมเพราะพื้นที่ดังกล่าวยังไม่ชัดเจนเรื่องแนวเขต บางคนก็สามารถที่จะประกอบสัมมาอาชีพได้ แต่บางคนก็จะถูกจับกุม ล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา เจ้าหน้าที่ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มีการไล่ตัดต้นยางพารา ที่ประชาชนได้ปลูกไว้ จำนวนเนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ ซึ่งสร้างความเดือดร้อน ส่งผลกระทบกับประชาชน และเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยประชาชนไม่มีสิทธิ์ ที่จะเรียกร้อง อะไรได้เลย ทั้งที่พื้นดังกล่าวเป็นพื้นที่ข้อพิพาท ยังไม่สามารถสรุป ได้ว่า เป็นสิทธิของอุทยานหรือสิทธิของนิคมสหกรณ์เป็นผู้ครอบครอง ที่แท้จริง จนกว่าจะรอการปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการหหรือ OneMap ถึงจะทราบว่าเป็นที่ดินอยู่ในการควบคุมดูแลของใคร ทำให้ชาวบ้านและตัวแทนของชาวบ้านได้เข้าเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่สมัยปี พ. ศ. 2534 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ร่วมถึงสภาผู้แทนราษฎร ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมาธิการต่างๆในรัฐสภา เพื่อขอความเป็นธรรม ให้กับประชาชนที่ทำอยู่ทำกินมากว่า 30 ปี ก่อนที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมจะประกาศ แนวเขตอุทยาน แต่เมื่ออุทยานประกาศแนวเขตแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะไป ทำกินในพื้นที่ของตนได้ ต้อง เร่ร่อน ไปหาทำงานรับจ้างต่างถิ่น แต่เมื่อมีกฎหมายใหม่ ที่อุทยาน ให้ประชาชน ที่อยู่ในเขตอุทยาน สามารถมีพื้นที่ทำกินได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่จะต้องอยู่ภายใต้ของกฎหมายของอุทยาน ก็ได้มีประชาชนมาขอเรียกร้องสิทธิ์เดิม ที่เคยอยู่ตั้งแต่ดั้งเดิมหรืออยู่ก่อนที่อุทยานจะประกาศ มาขอใช้สิทธิ์ ตามมาตรา 64 ของกฎหมายอุทยาน ที่ออกมาใหม่ปรับปรุงเมื่อปี พ.ศ.2562 ที่ผ่านมา จนเป็นที่มาของการ ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้มาตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อุทยาน และเจ้าหน้าที่นิคมสหกรณ์ และเพื่อมาสืบเสาะข้อเท็จจริง เรื่องที่ประชาชนได้ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรม เพราะทราบมาว่า พื้นที่ดังกล่าว อาจจะมี เจ้าหน้าที่บางนาย เรียกรับผลประโยชน์ เพื่อแลกกับสิทธิต่างๆหรือสิทธิพิเศษ ที่จะได้มาหรือได้อยู่อาศัยในเขตพื้นที่ข้อพิพาท ซึ่งมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 4,000 ครัวเรือน
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมาเวลา 9:30 น.ที่ห้องประชุม อุทยานแห่งชาติเขาแหลม (ป้อมปี่) นายอธิ อนันตสิน เจ้าหน้าที่ชำนาญการสอบสวนชำนาญการสำนักงานตรวจสอบ หน้าที่ของรัฐ และคณะเจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ตรวจการแผ่นดิน รวม 4 คนเดินทางมาแสวงหาข้อเท็จจริงในพื้นที่ และร่วมประชุมพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม นายเทวินทร์ มีทรัพย์ นายสุภาพ งามทองเหลือง และเจ้าหน้าที่อุทยานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทางด้านนิคมสหกรณ์มีนายณรงค์พล พัฒนศรี อดีตข้าราชการเกษียณ มาปฏิบัติหน้าที่ เป็นผู้ชำนาญการ มาให้ข้อมูลตอบข้อซักถามผู้ตรวจการแผ่นดิน และตอบคำถาม ที่ประชาชน ชาวสังขละบุรีและทองผาภูมิ ที่มาตั้งตาคอย รอคำชี้แจงว่าปัจจุบันเอง นิคมสหกรณ์สังขละบุรีและทองผาภูมิ จะรักษาอาณาเขตของตนเอง หรือจะยินยอม ยกอาณาเขตของตนเองให้กับอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เพราะที่ผ่านมา นายณรงค์พล ให้ข้อมูลมาลักษณะว่าทางนิคมสหกรณ์เอง จะมีการ ยกเลิกหรือ ให้สิทธิ์การครอบครองนิคมสหกรณ์บางส่วน ให้กับอุทยาน ทั้งที่ยังไม่มีการแก้ไขกฤษฎีกา และแผนที่แนบท้าย จนเสร็จทำให้เรื่องคาราคาซังมากว่า 29 ปี และเหตุใดทางนิคมสหกรณ์ ถึงจะยกเลิกเพิกถอนพื้นที่บางส่วน เจ้าหน้าที่นิคมสหกรณ์มีอำนาจกระทำได้หรือไม่? ทั้งที่ชาวบ้านเคยทำหนังสือสอบถาม ไปยัง อธิบดีสหกรณ์แล้ว ก็ตอบมาว่าพื้นที่ของนิคมสหกรณ์ทองผาภูมิและสังขละบุรียังไม่มีการยกเลิกเพิกถอน ให้ประชาชนสามารถทำอยู่ทำกินได้โดยปกติ แต่ต้องไม่ขัดกับกฎหมายอื่น
ซึ่งในการประชุมในครั้งนี้เป็นการ ตอบข้อซักถาม ประเด็นที่สงสัยของชาวบ้านและเปิดโอกาสให้ ชาวบ้านสอบถามเรื่องต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด ในที่ประชุมว่าจะสรุปเป็นเช่นไร หลังจากการประชุมเสร็จผู้ตรวจการแผ่นดินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมตรวจสอบพื้นที่ ข้อพิพาท ที่มีประชาชนร้องเรียน โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้ให้สัมภาษณ์ กับสื่อมวลชนว่า ในการมาในครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ มาแสวงหาข้อเท็จจริง ในเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนมา แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะสรุปให้แน่ชัดได้เลย ต้องให้ผู้ร้องเรียนนำเอกสารหรือหลักฐานมาประกอบการพิจารณา ต้องดูว่า พยานหลักฐานและเอกสารข้อมูล ฝั่งไหนมีน้ำหนักมากกว่า ถึงจะสามารถสรุปได้ว่าพื้นที่ข้อพิพาทดังกล่าว จะตัดสินเป็นเช่นไร
ทางประชาชน ที่ได้รับผมกระทบจึงจำเป็นต้องพึ่ง ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่ดินและออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน ได้โปรดช่วยพิจารณาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทั้ง 2 อำเภอ สังขละบุรี และทองผาภูมิ ที่อยู่ในเขตนิคมสหกรณ์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัฐกาลที่ 9 ได้ทรงโปรดเกล้าให้ประกาศ พื้นที่อำเภอทองผาภูมิและ สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้ง นิคมสหกรณ์ ตามความประสงค์ของพระองค์ท่านเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนด้วยเถิด
ลิงค์ข่าวและภาพประกอบ http://www.khaochad.co.th/49883
“ฟ้ามีตาเปิดทางสว่าง”! ชาวสังขละบุรีทองผาภูมิ มีความหวังอีกครั้ง หลังเรียกร้องที่ทำกินมานานกว่า 29 ปี http://www.khaochad.co.th/49883
Loading...