บท บก.ข่าวชัด ส.ค. 63 “ร้อยคำหมื่น คำขอโทษ ยากลบล้าง”

ที่นี่ประเทศไทย เกิดขึ้นได้ทุกเรื่อง ปากพร่ำตักเตือนประชาชน ป้องกัน ห่างไกล ไวรัสโควิด 19 แต่ภาครัฐปล่อยปละละเลยให้อภิสิทธิ์ชน คนสองกลุ่มเข้าประเทศ โดยใช้อภิสิทธิ์ทางการทูต 1 กลุ่ม และทหาร 1 กลุ่ม ซึ่งคนในรัฐบาลต่างรู้กันดี ต่อมาถูกเปิดเผยสู่สาธารณชน ไม่ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด 19 ตามมาตรการรัฐ ที่สุดออกมาขอโทษเท่านั้น

พฤติกรรมเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่าไร้มาตรการป้องกันคนต่างชาติ แต่คนในประเทศ กลับถูกกดดันทุกวิถีทาง โดยอ้างเพื่อการป้องกันการแพร่ระบาดวิทยาซ้ำสอง ที่ร้ายไปกว่านั้น คนของรัฐปกปิดข้อมูล ที่ประชาชนควรรับรู้ในฐานะประชาชนประเทศนี้ ถือได้ว่าละเมิดสิทธิ์ข้อมูลข่าวสาร ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ในกรณีอื่นๆก็เช่นกัน ทำให้เห็นว่าภาครัฐไม่มีความจริงใจในการแก้ไข ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในประเทศ

ปล่อยวัวหายล้อมคอก เพียงสร้างภาพไปวันๆเท่านั้น มันช่างหดหู่ใจยิ่งนัก ที่ให้อภิสิทธิ์ชน คนสองกลุ่มละเมิด ในขณะที่คนทั้งชาติ ต้องเผชิญชะตากรรมจากไวรัสโควิด 19 ที่หวั่นกันว่าเชื้อร้ายชนิดนี้กำลังจ่อคอหอยคนไทยทุกวินาที จากบุคคลที่เดินทางเข้าประเทศไทย ในปัจจุบัน นั่นเพราะมาตรการที่ไร้การควบคุมคนเดินทางเข้าออกประเทศ

แต่คนในประเทศถูกกำหนดกฎเกณฑ์ ควบคุมต้องปฏิบัติตามภาครัฐกำหนดเท่านั้น นี่คือมาตรฐานการบริหารที่ขาดวิสัยทัศน์ มองประชาชนเหมือนคนสายตาสั้นฉะนั้น เรื่องนี้ละเลยไม่ได้ เพราะหยิกเล็บ เจ็บเนื้อ คนไม่กี่คนมาตัดสินใจแทนคนทั้งประเทศ กระนั้นหรือ

คราวนี้อาจเกิดขึ้น จากคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากคนส่วนหนึ่งเป็นทหารต่างชาติ และคนส่วนหนึ่งเป็นครอบครัวอุปทูตต่างชาติ ซึ่งทุกคนไม่ควรมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง เมื่อเหยียบแผ่นดินไทย ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายประเทศไทย คนไทย คนต่างชาติมีความเสมอภาค ตามกฎบัตรสิทธิมนุษยชนเท่ากัน

รัฐต้องทบทวนความคิดเก่าๆล้าสมัย ในขณะที่เชื้อไวรัสโควิด 19 แพร่ขยาย ไม่มีที่สิ้นสุดในต่างประเทศ แต่ที่นี่คือแผ่นดินไทย ที่คนไทยทั้งชาติช่วยกัน ลดอัตราการขยายตัวของเชื้อไวรัสโควิด 19 แต่กลับเปิดประตูอ้าแขนรับคนต่างชาติ ที่อาจติดเชื้อเข้าประเทศอย่างมีเกียรติ โดยใช้เอกสิทธิ์ในด้านต่างๆ
คนไทยต้องตื่นสติและตระหนกอีกครั้ง เมื่อจังหวัดระยองและกรุงเทพมหานคร ตกเป็นเปา ซึ่งผู้ติดเชื้อพำนักอยู่ รัฐต้องพิสูจน์ให้ชัดเจน บุคคลทั้งสองกลุ่มติดเชื้อหรือไม่

แม้ ร้อยคำหมื่น คำขอโทษ ไม่สามารถล้างค่าวิตกหวั่นโควิด 19ระบาดรอบสอง เพราะหลายกระแสระบุชัด อาจกลายพันธ์ทำร้ายคนไทยรอบใหม่ หากหน่วยงานรัฐยังทำงานสร้างภาพเช่นนี้ เท่าที่ทำมาตั้งแต่ต้น ก็จบ มีช่องโหว่ เหมือนชักศึกเข้าบ้าน เพราะไร้การประเมินพวกกันเอง คงประเมินแต่ผลงานที่ควบคุมประชาชนด้วย พรก.ฉุกเฉิน จึงถูกมองข้ามหน่วยงานใด ใครเป็นผู้อนุญาตให้คนสองกลุ่มนี้เข้าประเทศ สมควรออกมาขอโทษประชาชนจะเหมาะกว่า อาศัยบารมีรัฐคุ้มครองตนเอง

ถึงเวลาหรือยังที่รัฐควรยกเครื่องใหม่ โละ รมต.ไม้ประดับ ไปปักกระถางอื่นๆ ดีกว่าปล่อยรกไว้เช่นนี้ นำความเสื่อมมาสู่องค์กร ที่สุดทำอะไรไม่ได้ โทษสื่อมวลชน นั่นแหละผิด เพราะนำเสนอข่าว นี่แหละประเทศไทย ถูกปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่ประชาชนพึงรับรู้ จึงพอมองเห็นว่ายังมีเผด็จการเต็มรูปแบบ ไม่สลายไปตามวิถีที่ควรจะเป็น

ใครเห็นต่างถูกคุมตัวและถูกอุ้ม ที่สุดถูกทำร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สิน บ้านเมืองอยู่ในยุคใดกันแน่ หญ้าปากคอกยังคายไม่หมดปาก แต่เอาของใหม่เคี้ยวต่อ นั่นคือเที่ยวสอนคนอื่นให้ทำตาม แต่ตนเองปฏิบัติไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้น มันงามหน้าทั้ง ศบค.

วันนี้ประเทศไทย ถูกจับตามองจากสื่อไทยและต่างชาติ ในมุมมองที่หลากหลาย โดยเฉพาะด้านความคิด ที่ด้อยการพัฒนา เพราะคนหลงยุคเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เพราะอคตินิยม ประเทศไทยจึงอยู่ในลักษณะนี้ตลอดศก

ประเทศไทยใครทำอะไรก็ได้ ต่างชาติจึงจับต้องพฤติกรรม เพราะมีชื่อสัตว์นานาชนิด นำมาเป็นโลโก้ของสินค้าต่างๆ ทั้งเครื่องดื่ม อาหาร เครื่องมือก่อสร้าง และที่สุดของที่สุดคือ ชื่อผู้นำประเทศไทยยังแปลกๆ ลองตรึกตรองดู เพราะคิดยังไงมันก้ำกึ่งยังไงชอบกล ลองคิดดู

บก.ข่าวชัดประเด็นจริง