วิพากษณ์การเมือง ข่าวชัด ส.ค.63 “ความจริงย่อมเป็นความจริง”
1 min read
คำพูดของครูปรีชาคือสัจธรรมข้อหนึ่ง ที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะในปัจจุบัน การเมืองใกล้จุดดับ แกนนำพรรคการเมืองต่างๆ เริ่มทยอยลาออก เพื่อเปิดทางให้ปรับ ครม.รอบใหม่ ซึ่งผู้นำถูกตีกรอบจากทุกด้าน คือหนึ่ง คนในแวดวงใกล้ตัวเริ่มตีตัวออกห่าง สอง ไวรัสโควิด 19 แพร่พิษจนสั่นคลอน ในกรณีที่รัฐให้เอกสิทธิ์แก่เจ้าหน้าที่ต่างประเทศ เดินทางเข้าออกประเทศไทย โดยไร้มาตรการตรวจกัก จนนำไปสู่วกฤตศรัทธาเมืองระยองและ กทม. กลายเป็นประเด็นร้อน แม้คำกล่าวขอโทษ แต่ไม่รับผิดชอบ ด้วยการลาออก มันเหนือวิสัยมนุษย์คิดกัน และสาม นอกจากการเปลี่ยนถ่ายอำนาจ หน.พปชร. จากคนหนึ่งไปสู่คนหนึ่ง ทำให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลมีการวางแต้มต่อนักการเมือง เลือกตั้งในระดับท้องถิ่น จะแพ้ไม่ได้ เพื่อให้รัฐบาลอยู่ยั้ง ยืนยง ยาวนาน สนามเลือกตั้งท้องถิ่น จึงเป็นเครื่องวัดความศรัทธาของประชาชนทั้งประเทศ แต่หากไม่เป็นไปตามที่คิด แต้มต่อ คือเปิดศึกใหม่ สร้างภาพวุ่นวายอีกรอบ เพื่อต่อยอดอำนาจ นั่นคือความคิดของใครบางคน ที่มองทะลุในการสกัดเส้นทางเติบโตของฝ่ายค้าน ด้วยการปล่อยข่าว ฝ่ายค้านแตกแยกตลอดมา
ศาสตร์การเมืองเดิมๆ ที่นิยมใช้ในเผด็จการ เพื่อคงอำนาจและผลประโยชน์ของพวกพ้องน้องพี่ที่อยู่ปัจจุบัน เสริมส่งเข้าไปหาผลประโยชน์ในองค์กรต่างๆ แทรกตัวอยู่ในองค์กรเหล่านั้น โดยอ้างเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการ แต่ในด้านความเป็นจริงคือการจัดสรร ผลประโยชน์เกื้อกูลต่อกัน มากกว่าจะมองเป็นอย่างอื่น
คำถามดังๆจากประชาชน ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร คนไทยต่างจับจ้องไปที่รัฐบาล จะแก้ปัญหาหรือจะหมกฝุ่นไว้ใต้พรม โดยขณะนี้ รมต.ร่วมรัฐบาล ต่างแยกตัวเพื่อรักษาเหลี่ยมเชิงทางการเมือง เมื่อรัฐบาลมาถึงจุดอับเช่นปัจจุบัน โดยพยายามฝืนอยู่ต่อ ด้วยการปรับ ครม.ก็ตาม แต่หาสงบศึกภายในไม่ การเมืองคือการเมือง รอการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น
โควิด 19 จากระยองสู่กทม.ทำประชาชนขวัญเสีย แม้มีคำขอโทษเล็กๆออกมา แต่คณะกรรมการ ศบค. ทั้งเล็กและใหญ่ ไม่มีใครเอ่ยขอโทษประชานเพราะอภิสิทธิ์ชน คนสองกลุ่ม เหล่านั้น ทำวุ่นวายทั้งบ้านเมือง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มต้นนับหนึ่ง แต่ต้องชะงักเพราะความผิดพลาดไม่น่าให้อภัยได้ ทุกวันปลุกให้ประชาชนตื่นกลัว แต่ในอีกด้านกลับละเลยข้อปฏิบัติ ที่นี่ประเทศไทย ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ต้องยึดกฎหมายไทยเป็นหลัก กต.เอง ก็ได้แต่เงียบ เพราะมีคนทำงานไม่เป็น สมควรถูกปรับออก
การลาออก บอกทางได้หลายประโยชน์ เสร็จศึกฆ่าขุนพล มันบอบช้ำลึกๆในจิตใจ ก่อนหน้านี้ร่วมหัวจมท้าย สู้ศึกเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล กลับถูกดับฝันอย่างเลือดเย็น นี่คือความโหดร้ายทางการเมือง ที่เกิดขึ้นในยุคที่ปฏิเสธการปฏิรูปใดๆ เกิดขึ้นตามสัญญาประชาคม ที่กรุยทางไว้เมื่อหลายปีก่อน มันคือความอดสูที่เกิดขึ้นในยุควิกฤตเศรษฐกิจ คนไทยอยู่ในสภาพตกต่ำค่าครองชีพ ธุรกิจต่างๆปิดตัว ปลดคนงาน เลิกจ้าง จำนวนมากขึ้น แต่รัฐบาลกลับเล่นการเมืองในรูปแบบเดิมๆ แย่งชิงอำนาจ ผลประโยชน์ เพื่อให้ตัวตนพวกพ้องอยู่ต่อ
ความจริงจะเปิดเผยขึ้นเสมอ เมื่อเวลามาถึง รัฐบาลชุดนี้ ไร้ภาพจริงใจ แก้ไขวิกฤตชาติ เพราะวันนี้มีแต่ก่นด่ารัฐบาล เลื่อมล้ำในความเป็นชนชาติกันเอง
ทุกรายละเอียดที่รัฐบาลดำเนินการนั้น ทำเพื่อผลประโยชน์ต่อตนเอง ประโยชน์ต่อพวกพ้อง และทางการเมือง ยิ่งเมื่อฤดูเลือกตั้งมาถึง ทุกอย่างจะถูกเทจากบนสู่พื้น เพราะต้องการคะแนนเสียงจากประชาชน ในการอ้างสิทธิ์ประชาชนเลือกตั้ง แต่ด้วยความมืดมิดบังตา รัฐบาลยิ่งอยู่นาน ยิ่งบอบช้ำ เพราะเยาวชนปลดแอก เปิดประเด็นไล่ส่งรัฐบาล แต่มีการโยนบาป ใส่คณะก้าวหน้า ธนาธร ถูกมองว่ามีส่วนร่วม เยาวชนปลดแอก การเมืองไทยไม่สิ้นกลิ่นสีตีไข่ ช่วยกันลากลงเหวลึกในโคลนตม ไม่สนใจ ใครจะอยู่ ใครจะไป แม้เซียนการเมือง ยังทำนายดวงเมืองไม่ถูก อะไรจะเกิดขึ้นต่อรัฐบาลสืบทอด คสช. ยังเดินอยู่ในวังวนเดิมๆ คำว่าปฏิรูปไม่มีอีกแล้ว จะมีอยู่ในความคิดกับคราบน้ำตาประชาชน เพราะคนกำลังหลงอำนาจ ในทุกมาตรการ โดยเฉพาะ พรก.ฉุกเฉิน ที่นำมาใช้ควบคุมประชาชน คนเห็นต่าง และคงหวังอะไรไม่ได้มาก กับคำพูดของคนในรัฐบาล เพราะคิดประการเดียว ทำอย่างไรให้รัฐบาลนิอยู่รอดไปวันๆ แม้ขาดวิสัยทัศน์ในการบริหารงานบ้านเมือง ที่นำไปสู่การพัฒนา แม้ตอบคำถามจากสื่อมวลชน ยังตอบแบบสับปะรดไม่รับประทาน นับประสาอะไรกับการบริหารระดับชาติ จึงพอสรุปได้ว่าอยู่เพื่อผลประโยชน์ อยู่เพื่อดำรงไว้ซึ่งอำนาจทั้งปวง