ปราจีนบุรี ชาวบ้านลุกฮือ!! คัดค้านรางวัดที่ดินวัด
1 min readวันที่ 18 ก.พ.64 ที่วัดหนองคล้า ม.1 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ชาวบ้าน 50 คน รวมตัวกันคัดค้านเจ้าหน้าที่กรมที่ดินสาขากบินทร์บุรี จะรางวัดเขตที่ดินซึ่งมีทายาทของผู้ยกที่ดินให้กับทางวัดที่เสียชีวิตได้เสียชีวิตไปแล้ว ต่อมาทายาทจะขอแบ่งที่ดินของวัด 10 ไร่ จาก 30 ไร่ โดยจะขอแบ่งที่ดินด้านหน้าเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง ที่เหลือด้านหลังวัดจะยกให้วัดเหมือนเดิม ซึ่งที่ดินวัดเป็น (นส.3 ข) แต่ยังไม่ได้ลงชื่อยินยอมอย่างเป็นทางการและมีพยานรู้เห็นว่าเจ้าของเดิมยกที่ดินแปลงนี้ให้กับวัด ทางวัดได้จัดทนายเพื่อขอฟ้องต่อศาล โดยราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 12 กย.2518 ประกาศกระทรวศึกษาธิการเรื่อง ตั้งวัดในพระพุทธศาสนา
ตามที่นายเรืองเกียรติประวัติ ได้รับอนุญาตให้สร้างวัด ณ หมู่ 1 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี นั้น บัดนี้ผู้ได้รับอนุญาตได้สร้างเสนาชนะขึ้นสมควรเป็นที่พำนักของพระภิกษุสงฆ์ ได้แล้วอาศัยความตามข้อ 4 แห่งกระทรวง ฉบับที่ 1 พ.ศ.2507 ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม กระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศตั้งเป็นวัดขึ้นในพระพุทธศาสนาชื่อว่า “วัดหนองคล้า” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 21 สค.2508 นายประเสริฐ บุญสม รัฐมนตรีช่วยว่าการปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมามีผู้ร้องเรียน อ้างถึงหนังสือจังหวัดปราจีนบุรี ด่วนที่สุด ที่ ปจ. 0017.1/ว 3355 วันที่ 22 ตค.63 ตามหนังสือที่อ้างถึง ปราจีนบุรีได้จัดส่งเเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์ของนางเฉลิม เปลื้องรัตน์ ซึ่งแจ้งว่าเป็นผู้จัดการมรดกของนายทา กล้าหาญ เจ้าของที่ดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ( นส 3 ข)เลขที่ 157 ม.1 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งขอความช่วยเหลือกรณีเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2554 ผู้ร้องได้ยื่นร้องขอออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าว (จำนวน 30 ไร่) แต่ผู้ใหญ่บ้านคัดค้าน อ้างว่าเป็นที่ดินของวัดหนองคล้า จึงไม่สามารถออกโฉนดได้ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 ตค.2563 ผู้ร้องได้ไปติดต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี สาขากบินทร์บุรี เพื่อขอแบ่งแยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่ทางวัดหนองคล้า จำนวน 20 ไร่แต่ไม่ได้รับแจ้งจากสำนักงานที่ดินจังหวัดปราจีนบุรี สาขากบินทร์บุรี ว่าแบ่งแยกไม่ได้เนื่องจากสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี เป็นผู้คัดค้านผู้ร้องจึงมีความประสงค์ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น สำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี จึงขอเรียนให้ท่านทราบถึงความเป็นมาและข้อเท็จจริงของกรณีดังกล่าว นายทา กล้าหาญ เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองทำประโยชน์ (นส.3 ข) เลขที่ 157 ม.1 ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ได้ยกที่ดินดังกล่าวให้สร้างวัดซึ่งต่อมาได้มีการประกาศตั้งเป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมายในปี พ.ศ 2518 มีชื่อว่าวัดหนองคล้า
แต่นายทา กล้าหาญ เจ้าของที่ดินยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่วัด จนเมื่อนายทา กล้าหาญ เสียชีวิต เป็นเหตุให้ดีการตั้งผู้จัดการมรดก คือ นางเฉลิม เปลื้องรัตน์ ตามคำสั่งศาลจังหวัดกบินทร์บุรี แต่เกิดปัญหาการจัดการทรัพย์
มรดก คือ ทายาทของนายทา กล้าหาญ อ้างว่าตนมีสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ด้วยจำนวน 10 ไร่ โดยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้ว ในขณะที่วัดหนองคล้าก็อ้างว่า นายทา กล้าหาญ ได้ยกที่ดินให้แก่วัดทั้งแปลงจึงโอนสิทธิ์ที่ดินให้แก่ทางวัดทั้งแปลง อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวผู้ร้องได้เคยมาติดต่อสอบถามสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี แล้ว ซึ่งทางสำนักงานฯได้ชี้แจงและให้คำแนะนำแก่ผู้ร้องดังนี้
1.ตามกฎหมายแล้ว สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรีไม่มีอำนาจในการคัดค้านนิติกรรมของวัดในเรื่องการรับให้ที่ดิน เนื่องจากสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี ไม่ใช่ผู้มีสิทธิ์หรือผู้มีส่วนได้เสียในที่ดิน ซึ่งอำนาจดังกล่าวเป็นของวัด โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในการแสดงเจตนาเป็นไปตามนัยยะของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2561 มาตรา 31การเข้าใจว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี เป็นผู้คัดค้านนั้น น่าจะมีสาเหตุมาจากที่นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี ขณะนั้น ได้แสดงท่าทีต่อกรณีปัญหาดังกล่าว โดยเข้าใจว่านายทา กล้าหาญ ประสงค์ที่จะยกที่ดินให้สร้างวัดทั้งแปลง อย่างไรก็ตาม ท่าทีของผู้อำนวยการสำนักพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี ในขณะนั้น มิใช่เหตุให้เกิดการจัดการทรัพย์มรดกหยุดชะงักลงอย่างแท้จริง เนื่องจากตามกฎหมายแล้วนั้นจะมีผลเป็นเพียงการถวายคำแนะนำแก่ทางวัดตามหน้าที่โดยปกติของสำนักพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรีเท่านั้น
2.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรีได้ตรวจสอบแล้วเนื่อง
จากวัดหนองคล้าได้ตั้งวัดมาเป็นเวลานานพอสมควร จึงไม่พบเอกสารหลักฐานการยกที่ดินให้สร้างวัดเก็บไว้ที่สำนักงานฯ แต่อย่างใด ในการนี้ ได้ให้คำแนะนำแก่ผู้ร้องว่าในกรณีที่วัดและทายาทไม่อาจตกลงกันได้จริงๆ ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดควรจะใช้สิทธิ์ทางศาล โดยผู้จัดการมรดกมีสิทธิ์ที่จะยื่นฟ้องคดีต่อศาลเมื่อเกิดข้อพิพาทกับทางเจ้าหนี้หรือผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก ตามนัยยะของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 เมื่อศาลตัดสินเป็นอย่างไรแล้ว ย่อมผูกพันสำนักงานที่ดินฯ ใช่ต้องดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลต่อไป (นางพัชรินทร์ พัดทอง) ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาจังหวัดปราจีนบุรี ภายในวัดไม่มีการปลูกสร้างบ้านเรือนอยู่ในวัดแต่อย่างใดมีเพียงแค่กุฏิพระ โบสถ์ศาลาการเปรียญ และเมรุเผาศพเท่านั้น
ภาพ/ข่าว ทองสุข สิงห์พิมพ์