บทบรรณาธิการข่าวชัด “ปลุกผี เศรษฐกิจรุ่งหรือร่วง”
1 min readบท บก.ข่าวชัด พ.ย.64
ปลุกผี เศรษฐกิจรุ่งหรือร่วง
ที่สุด รัฐบาลต้องกัดฟันเปิดประเทศ เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ ที่ตายซากมากว่า 2 ปี จากพิษโควิด สถานประกอบการทุกประเภท ถูกลอยแพอยู่กลางทะเล มองไม่เห็นฝั่ง เชื้อไวรัสมันระบาดไปทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ขณะที่รัฐคลำทางในอุโมงค์ที่มืดมิด แต่สุดปลายอุโมงค์มีแสงสว่าง ในการหยุดเชื้อไวรัส แม้มีวัคซีนแล้ว ก็เอาไม่อยู่ ต้องปฏิบัติเชิงรุกเท่านั้น
วันนี้รัฐเดินมาถูกทาง ทั้งรับและรุก ตลอดแนว จนในบางพื้นที่ไร้เชื้อ แต่หนักสุด ลงไปที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีวัฒนธรรมประเพณีต่างจากจังหวัดอื่นๆ รัฐต้องเดินหน้า แม้มีปัญหา ต้องแก้รายวันก็ตาม เพราะคนเหล่านั้นคือ ส่วนหนึ่งคนไทยในชาติ เพียงมีวัฒนธรรมประเพณีที่แตกต่างกันเท่านั้น
ในรอบนี้เป็นการดี ที่ผู้นำรัฐบาลเดินทางไปประชุมในต่างประเทศ เป็นโอกาสเปิดหู เปิดตาดูโลก กว้างขึ้นจากเดิม รับรู้ชาวโลกคิดอย่างไรกับประเทศไทย ในเวลานี้ นั่นคือจุดเริ่มต้นแนวคิด ที่ผู้นำต้องมีสังคมกับชาวโลกมากกว่าเดิม ฟื้นเศรษฐกิจด้วยการเปิดประเทศ คราวนี้จำต้องมีมาตรการป้องกันหลายขั้น เพื่อป้องกันโรคนำเข้าจากนักท่องเที่ยวทุกชาติ ที่มุ่งสู่ประเทศไทย จะรุ่งหรือร่วง ต้องดูกันนานๆ แต่ก็ดีด้วยประการทั้งปวง การส่งเสริมท่องเที่ยวทุกอย่าง จะเป็นวงจรไปทั่วทุกภาคประกอบการ เม็ดเงิน แรงงาน ขนส่ง ผู้ประกอบการรายเล็ก รายย่อย จะไม่หน้าชื่น อกตรม อีกต่อไป แต่ต้องระวัง…………..
เปิดประเทศ มีเสียงขานรับและไม่รับ โดยเฉพาะพวกมองโลกสวย กลัวไปหมด ปัจจุบันคนไทยเรียนรู้ ที่จะอยู่สู้โลกกว่า 2 ปีเต็มๆ คนไทยทำทุกอย่างเพื่อป้องกัน มีเพียงคนที่ชะล่าใจ เท่านั้น ที่รับเชื้อไวรัส ขณะที่คนรู้เท่าทัน ก็ป้องกันตนเองทุกฝีก้าว
กว่า 2 ปีที่คนไทย อยู่ร้อน นอนทุกข์ ขาดหายจากจารีตประเพณี เพราะเชื้อไวรัสระบาด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น การเมืองยังแก่งแย่งชิงอำนาจกันไม่รู้จบ สุดท้ายตกอยู่ทีประชาชนต้องจมปลัก แต่ที่หนักที่สุด หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นทุกชั่วโมง เพราะเม็ดเงินขาดการหมุนเวียนในทุกระบบ แรงงานตกงาน กลายเป็นปัญหาสังคม จนมีคดีอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น นั่นเพราะขาดการมองปัญหาล่าช้า ขาดหลักนิติรัฐ นิติธรรม พียงเพราะ สนองความต้องการของตนเท่านั้น การเปิดประเทศ เพื่อดึงเม็ดเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยว ทำได้ แต่อยู่ในกรอบมาตรการที่กำหนด เมื่อเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบ มันจะกระจายไปทุกอณู ในประเทศ ประชาชนทุกภาคส่วนจะลืมตา อ้าปาก เพราะมีเงินอยู่ในกระเป๋า รัฐเองต้องไม่ปิดกั้นไปเสียทั้งหมด
เป็นการฉีดยาปลุกผีเศรษฐกิจให้ฟื้น เพื่อประชาชนจะไม่ทนทุกข์ต่อไป ทุกๆอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา มันคือบทเรียน ได้มาจากชีวิต ประชาชนที่เสียชีวิตจากโควิด 19 ผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อย รัฐก็ต้องจดจำบทเรียนนี้เช่นกัน ส่วนประชาชน นั้น คงได้ไม่น้อยเช่นกัน เพราะสูญเสียคนในครอบครัวไป โดยไม่มีคำล่ำลา สั่งเสียใดๆจากผู้เสียชีวิต ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันคือวิถีโลก ภัยมืดที่คุกคามมนุษยชาติ ที่ไม่ใช่สงคราม แต่มันคือโรคระบาด ที่ยังพิสูจน์ไม่ได้มาจากต้นตอที่ใด จากนี้เป็นต้นไป คนไทยได้รับชุบชีวิตใหม่ จากเศรษฐกิจที่ถูกฝังดินมากว่า 2 ปี รัฐได้บทเรียน ประชาชนได้บทเรียนไม่ต่างกัน ในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บจากเชื้อไวรัส
แต่ทุกภาคส่วน ต้องไม่ลืมว่า มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ได้รับผลจากอุทกภัย ข้าวในนา ได้รับความเสียหาย ตลอดจนผลผลิตทางเกษตรกรรม ย่อยยับไปกับน้ำท่วม ในปีนี้ หน่วยงานภาครัฐ ต้องเร่งเข้าไปกู้คืนสภาพเดิมโดยเร็ว เพราะปัจจุบัน พืชผลการเกษตร เริ่มมีราคาสูงขึ้นกว่าปกติ มันจะส่งผลลงไปสู่ประชาชน ผู้บริโภค ทุกภาคส่วน เพราะเมื่อต้นทางขึ้นราคา มันกลายเป็นแรงสะท้อนค่าขนส่ง ต้องพึ่งราคาน้ำมันสูงขึ้นเช่นกัน สรุป มันดึงราคาการผลิต การขนส่งสูงขึ้น นั่นเอง
ผลกระทบตกหนักที่ประชาชน หนีไม่พ้นการบริโภค รัฐต้องหามาตรการที่เป็นกลาง ระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค ให้เกิดความสมดุลกัน ตามวิถีที่ควรจะเป็นธรรม ในราคากลาง รัฐมนตรีหรือรัฐบาล ไม่ควรนำการเมืองเข้าผสมผสานในการแก้ปัญหา การเมืองควรอยู่ในสภา จะเหมาะกว่า ลากการเมืองน้ำเน่า เข้าสู่ประชาชน เพราะจะส่งผลสะท้อนให้เห็น การเลือกตั้งในทุกๆระดับ ซึ่งเชื่อว่าประชาชน ได้เห็นวิธีคิด วิธีทำ ของรัฐบาลปัจจุบันแล้วว่า ในสมัยต่อไป ประชาชนจะให้ความไว้วางใจนักการเมือง และพรรคใดเหมาะสมเป็นรัฐบาลเพื่อประชาชน คงต้องรอดูอีกไม่นาน
เพราะเวลานี้ หลายพรรคการเมือง เริ่มเปิดตัวชี้นำ บุคคลในพรรคนั้นๆ เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยหน้า จะเป็นหน้าที่ของประชาชน ที่จะเลือกคนเดิม หรือคนใหม่เข้าสภา ต้องฝากความหวังไว้ให้ประชาชน ผู้เป็นเจ้าของประเทศตัดสินใจ เลือกหมู่หรือจ่า เข้าสภา
บท บก.ข่าวชัดประเด็นจริง