อึ้ง! ฝรั่งเปิดศูนย์เลี้ยงสุนัขได้เงินกว่า 50 ล้าน เจ้าหน้าที่แรงงานบุกตรวจสอบ (มีคลิป)
1 min readอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัด ตามคดีที่แจ้งจับฝรั่งเจ้าของสถานพักพิงสัตว์ ฐานทารุณกรรมสัตว์ ที่ฆ่าสุนัขถึง 22 ตัว พร้อมเผยฝรั่งนำภาพไปนำเสนอเพื่อขอบริจาค ในห้วง 8 เดือนได้เงินนับ 10 ล้าน คาดรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 50 ล้าน ขณะสวัสดิการแรงงานลงพื้นที่ตรวจสอบ ไม่ใช่มูลนิธิ เตรียมพิจารณาด้านแรงงาน
วันที่ 23 ธ.ค.62 กรณีคนงานจำนวน 15 คนในสถานพักพิงสัตว์ ชื่อ”The sound of animals”เลขที่ 299 ม 10 ต ปราสาท อ. บ้านกรวด จ. บุรีรัมย์ เข้าแจ้งความที่ สภ.บ้านกรวด ว่า นายมิเกล ดาวิด เอมิล ชูร์ อายุ 50 ปี ชาวฝรั่งเศส ขังไว้ในกรงสัตว์จนต้องอดข้าวอดน้ำ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดสัตวแพทย์ขวัญชัย ชัยปลื้ม อาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสุนัขจรจัด และสอดส่องหมอเถื่อนหากินกับสุนัขจรจัด”จ.ชลบุรี ได้เดินทางมาที่ สภ.บ้านกรวด เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี ที่ได้แจ้งกล่าวหานายมิเกล ดาวิด เอมิล ชูร์ อายุ 50 ชาวฝรั่งเศส ฐานทารุณกรรมสัตว์ และการกระทำผิด พรบ.วิชาชีพสัตวแพทย์ พร้อมกับกล่าวว่า
ตนได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.บ้านกรวด เมื่อเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา หลังจากเห็นคลิปการฉีดยาฆ่าสุนัขของนายมิเกล ถึง 22 ตัว และมาทราบว่านายมิเกล อ้างตัวว่าเป็นสัตวแพทย์ ทั้งที่จริงไม่ได้จบในด้านนี้ ซึ่งวันนี้ก็ได้มาติดตามผลคดี ซึ่งตำรวจระบุ ยังอยู่รวบรวมเอกสาร เตรียมส่งอัยการต้นปี 2563 นี้
สัตวแพทย์ขวัญชัย กล่าวด้วยว่า การฆ่าสุนัขตายของนายมิเกล มีเงื่อนงำ เพราะได้มีการถ่ายคลิปบรรยายว่า มีโรคพิษสุนัขบ้าระบาด ต้องกำจัดตัวที่ป่วย พร้อมกับนำภาพเผยแพร่โลกโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนสงสาร และขอรับบริจาคเงินช่วยเหลือ
ซึ่งจากการตรวจสอบตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 ถึงเดือนสิงหาคม 2562 หรือประมาณ 11 เดือน มียอดเงินเข้าบัญชีนายมิเกล กว่า 8 ล้านบาท ยังไม่นับก่อนหน้านี้ ที่ตั้งสถานพักพิงสัตว์มาร่วม 3 ปี
นอกจากนี้ยังพบว่า เงินที่ซื้อที่ดินกว่า 6 ไร่ รวมถึงอาคารที่สร้างทั้งหมด เป็นเงินที่ได้มาจากการบริจาคทั้งสิ้น คาดว่านายมิเกล จะได้เงินบริจาคมามากกว่า 50 ล้านบาท ส่วนที่นายมิเกล อ้างว่าเป็นสัตวแพทย์นั้น ก็ไม่เป็นความจริง ตนจึงแจ้งความเอาผิด 2 ข้อหา
ด้านนายณัฐดนัย นามมาลา พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้น สถานที่ดังกล่าว ยังไม่มีการขออนุญาตตั้งเป็นมูลนิธิใดๆ
ซึ่งหากเป็นมูลนิธิที่ไม่หวังผลตอบแทน ก็จะถูกยกเว้นกฎระเบียบเป็นบางกรณี แต่ถ้าไม่เป็นมูลนิธิ ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎข้อระเบียบของกฎหมายแรงงานทุกประการ ส่วนกรณีการกักขัง เบื้องต้นยังก้ำกึ่ง เพราะไม่มีการล็อคกุลแจกักขัง เพียงแต่ห้ามด้วยวาจา ซึ่งการพิจารณา จะต้องมีฝ่ายตำรวจ พัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมพิจารณากับกระทรวงแรงงานอีกครั้ง