“บิ๊กโจ๊ก” รับให้เงินสื่อจริง แต่เป็นการให้ค่าข้าว ค่าน้ำมัน ยัน ไม่เอาคืน เพราะไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง พร้อมตั้งทนายกระดูกเหล็กช่วยสู้คดี
1 min readพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดเผยว่า ตนมอบหมายให้ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เข้ามาดูแลเรื่องคดีความทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ให้ทนายความไปยื่นคำร้องที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวน ในทางละเมิดอำนาจศาล ในกรณีการขอออกหมายจับตำรวจ เพราะเดิมทีแล้วการขอออกหมายจับตำรวจต้องไปขอหมายจับที่ศาลอาญาทุจริตเท่านั้น รวมถึงการไปขอจะต้องมีขั้นตอนที่ละเอียด ต้องแจ้งยศของตำรวจนายดังกล่าว เพราะศาลจะพิจารณาดูจากยศเป็นอันดับแรก ดังนั้นจึงมองว่า ชุดที่จับกุมเป็นการละเมิดอำนาจศาลและโกหกศาล เช่นเดียวการขอหมายค้นบ้านตนเองนั้น เป็นการขอหมายค้นจากศาลอาญารัชดา ซึ่งตามทีจะต้องไปขอที่ศาลอาญาทุจริตเช่นกัน
ดังนั้นการขอออกหมายจับตำรวจที่ศาลนั้น น่าจะใช้กับวิธีการสอดไส้รวมกับพลเรือนที่เป็นผู้ต้องหาร่วมกับตำรวจ การที่ชึจับกุมทำเช่นนี้ ในอนาคตจะทำให้ตำรวจทำงานมากยิ่งขึ้น เพราะศาลจะตรวจหมายค้นและหมายจับที่ไปขออนุญาตละเอียดมากยิ่งขึ้น และอนุมัติหมายมากยิ่งขึ้น แล้วจะทำให้ตำรวจไม่เหลืออำนาจในการสอบสวนผู้ต้องหา
ส่วนกรณีบ้านที่เป็นชื่อของเฮียแต๋ม บิ๊กโจ๊ก ชี้แจงว่าตนรู้จักกับเฮียแต๋มมานานตั้งแต่ยังเป็นสารวัตร แม้จะไม่ใช่ญาติกันทางสายเลือด แต่ตนก็นับถือเฮีย แต๋มเป็นญาติผู้ใหญ่ ซึ่งตอนนั้นตนอาศัยอยู่ที่แฟลตตำรวจ พอตนมีงานเยอะขึ้น และมีลูกน้องเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องการขยับขยายที่อยู่ ซึ่งตนมีที่ดินของภรรยาอยู่แล้ว ที่ย่านพุทธมณฑลสาย 7 และต้องการจะไปถมที่และไปสร้างบ้านที่นั่น แต่ใช้เวลาในการสร้างนาน จึงต้องหาที่อยู่โดยเร่งด่วน จึงมองหาบ้านเช่า ทางเฮียแป๋มเห็นดังนั้นจงเสนอให้เช่าบ้านของตนเอง ซึ่งอยู่ใกล้กับสโมสรตำรวจ ตนจึงขอเช่าในราคา 50,000 บาท 2 หลัง ส่วนอีก 3 หลังนั้นตนไม่ได้เช่า 2 ใน 3 เอาไว้เก็บของ ส่วนอีก 1 หลังนั้นว่างอยู่ ตนจึงให้พ่อที่ป่วยหนักมาพักอาศัยอยู่ แต่พอพ่อเสียชีวิตบ้านก็เลยกลับมาว่างอีกครั้ง
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวออกมาว่า มีนักข่าวบางสำนักรับสินบน ยืนยันว่า เป็นการให้เงินนักข่าวจริง แต่เป็นสินน้ำใจ ค่าข้าว ค่าน้ำมันรถ เท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติเพราะตนก็ให้ลูกน้องแบบนี้อยู่แล้ว ยืนยันว่าสื่อไม่เคยมาขอเงินตน แต่การเลี้ยงข้าวสื่อหรือลูกน้องตนทำเป็นเรื่องปกติ โดยเฉลี่ยแล้ว ต้นใช้เงินตัวเองจ่ายค่าอาหารกลางวันให้กับลูกน้อง เปลี่ยนเดือนละ 250,000 บาท แล้วเป็นเงินถูกกฎหมาย ไม่ได้ดำไปเบิกจากราชการ และหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมาตนก็ยังไม่ได้คุยกับนักข่าวคนใด เพราะตนเพิ่งทราบเรื่องเมื่อเช้านี้
ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะไม่มีการเอาคืน เพราะตนไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ซึ่งตนทำคดีมาเยอะ รู้เส้นทางการเงินหลายคดี เพราะถ้าตอนเปิดเผยทั้งหมด จะมีตำรวจหลายคนที่เดือดร้อน ซึ่งตนอยากให้ตำรวจที่เกี่ยวข้องยังเหลือทางเดิน ดังนั้นตนจะต่อสู้คดีไปตามปกติและไม่มีการเอาคืน
สวนลูกน้องที่ถูกจับกุมและได้รับการเปิดตัวออกมานั้น ตนได้มีการพูดคุยด้วยทุกคนแล้ว บางคนก็ได้มีการกล่าวขอโทษ แต่ต้นไม่ได้ตำหนิ เพราะเห็นว่าบางเรื่องก็เป็นเรื่องส่วนตัวถึงไม่อยากก้าวร่วง ดังนั้นเรื่องไหนที่ไม่ดีตนก็อยากจะดูแลลูกน้อง แต่เรื่องไหนดีพูดผิดก็ให้ลูกน้องไปแก้ข้อกล่าวหาเอาเอง ส่วนรายละเอียดอื่นๆยังไม่ได้คุยกันซึ่งจะมีการพูดคุยกันในช่วงบ่ายวันนี้
ขณะที่ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ตนและบิ๊กโจ๊กมีโอกาสได้พูดคุยกัน ทำให้ตนทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ทันทีที่ทราบเรื่องจึงดูออกว่า บิ๊กโจ๊ก ถูกกลั่นแกล้ง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะนี้เป็นช่วงที่กำลังมีการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ และบิ๊กโจ๊กก็เป็นหนึ่งในแคนดิเดท ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีการค้นบ้าน ทุกคนดูออก ขนาดเด็กอนุบาลก็ยังดูออก ส่วนตำรวจที่ไปค้น ตนตั้งคำถามว่า เป็นตำรวจภาษาอะไร ไม่รู้เหรอว่าบ้านใคร สืบสวนสอบสวนอย่างไรถึงไม่รู้ว่าเป็นบ้านใคร
การกระทำเช่นนี้ ตนมองว่าเป็นการดิสเครดิต พร้อมกับขอเตือนว่า หลังจากนี้เป็นต้นไปทีมทนายความและตนจะจับตาทุกฝีก้าว จะต้องทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณชน ส่วนข้อเท็จจริงที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียกับข้อเท็จจริงเรื่องราวทั้งหมดนั้นมันคนละเรื่องกัน
ส่วนภาพที่บิ๊กโจ๊กถ่ายคู่กับ มินนี่ นั้น ทนายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า การที่ไปถ่ายรูปคู่กับโจรนั้นจำเป็นด้วยหรือที่บุคคลนั้นต้องเป็นโจรด้วย มันก็เป็นเพียงแค่รูปถ่าย เช่นกรณีของลูกน้องของบิ๊กโจ๊ก ที่บางครั้งลูกพี่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าลูกน้องไปทำอะไรผิดมาบ้าง
ทั้งนี้ยืนยันว่า คดีนี้ตนไม่มีความหนักใจ เพราะในสมัยอดีตที่ พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้เบากว่าตอนนั้นเยอะ และตอนนั้นตนก็เป็นทนายความให้พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ จนสามารถทำคดีผ่านไปลุล่วงได้ดี
ส่วนเรื่องเส้นทางการเงิน ตนทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว ซึ่งได้กำชับบิ๊กโจ๊กไปแล้วว่าเรื่องนี้อย่าให้สัมภาษณ์กับสื่อ โดยตนจะเป็นต้องคนตอบคำถามทั้งหมดเอง
สำหรับการดูแลคดีนั้น จะแบ่งทีมทนายเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะดูแลบิ๊กโจ๊ก ส่วนอีกชุดจะดูแลลูกน้องบิ๊กโจ๊ก