“สันธนะ”ตั้งโต๊ะแถลงร่วมชั่วโมง ปูดปมส่วยข้ามชาติ ศึกสายเลือดตร.-ปกครอง ลั่นไม่อโหสิกรรม “ชูวิทย์”
1 min readกรุงเทพมหานคร-“สันธนะ”ตั้งโต๊ะแถลงร่วมชั่วโมง ปูดปมส่วยข้ามชาติ ศึกสายเลือดตร.-ปกครอง ลั่นไม่อโหสิกรรม “ชูวิทย์” รีบลุกจากวิลแชร์มาปะทะกันอีก
วันที่ 8 พ.ย.2566 เวลา 10.00น.ที่โรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์ พอยท์ เพลินจิต ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตำรวจสันติบาล เปิดเผยถึงกรณีส่วยข้ามชาติ ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ว่า เกิดจากนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปราศจากครหา เพราะในการประชุมแต่งตั้งนายพลใหญ่ นายพลเล็กที่ผ่านมานโยบายดีคือไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่ง แต่นโยบายไม่ใช่เพียงแค่ตรงนั้น มีนโยบายทดแทนคือ “ตั้งก่อน ผ่อนทีหลัง” ซึ่งนำไปสู่การเรียกเก็บส่วยข้ามชาติ จากกรณีเหตุกลุ่มกะเหรี่ยงบีจีเอฟอ้างว่า ถูกนายตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 6 ส่งนายตำรวจระดับพันตำรวจโท พร้อมพวกรวมประมาณ 10 นาย ข้ามไปฝั่งประเทศเมียนมา เพื่อขอเรียกเก็บผลประโยชน์จากพื้นที่ที่ชาวจีนเข้ามาลงทุนบ่อนกาสิโนและสถานบันเทิง ในอัตราที่สูงขึ้น และส่วยไม่ไม่ได้มีแค่ฝั่งเมียนมาร์เท่านั้น แต่การจะข้ามฝั่งจากไทยไปเมียนมาร์ ก็ต้องจ่ายค่าผ่านทางสูงถึง 1,500 ต่อคนต่อครั้ง ในขณะที่รัฐกะเหรี่ยงมีการจ่ายค่าดูแลใน เดือนละ 2 แสนบาท ผ่าน ” นายฟิค ” มือเก็บเงินมือดีที่จะคอยเก็บส่วยเป็นเงินสดจากรัฐกะเหรี่ยงมาแจกจ่ายให้หน่วยงานฝั่งไทย ราว 20 หน่วยงาน เงินหมุนเวียนราว 4 ล้านบาท และเมื่อมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับการ กองบังคับการ ไปจนถึงกองบัญชาการ ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่เหล่านี้ต้องสนองนโยบาย ด้วยการส่งเงินไปยังระดับสูง เข้าข่ายลักษณะ “ตั้งก่อนผ่อนทีหลัง” เมื่อรับตำแหน่งแล้วต้องไปจ่ายส่วย โดยการจ่ายแบบผ่อนรายเดือน จึงขอฝากให้นายกฯ ตรวจสอบว่าส่วยในแต่ละเดือนเงินไปอยู่ที่ใคร ฝ่ายการเมืองใช่หรือไม่ และทราบว่าตอนนี้มีการขึ้นค่าส่วยรายเดือน จาก 2 แสนบาท เป็น 5 แสนบาท ทำให้รัฐกะเหรี่ยงไม่พอใจ และเป็นที่มาของเหตุการณ์ ที่ตำรวจไทยบุกไปเก็บส่วยข้ามแดน ทำให้รัฐกะเหรี่ยงไม่พอใจ และประกาศจะปิดชายแดนในเขตพื้นที่รับผิดชอบด้านทิศเหนือ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง
และในประเด็น ศึกสายเลือด ตำรวจกับฝ่ายปกครอง ในการตรวจค้นจับกุมบ่อนการพนันและสถานบริการ นั้น นายสันธนะ ระบุว่าปัญหามาจากนโยบายการบริหารที่มีความขัดแย้งโดยไล่เรียงข้อสงสัยเรื่องความขัดแย้งของสองหน่วยงานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนฝ่ายปกครองจับบ่อนไฮโลในพื้นที่สน. ร่มเกล้า ขณะนั้นสามารถจับผู้ต้องหาได้ 67 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกเพราะที่ผ่านมาฝ่ายปกครองจะไม่ปฏิบัติการจับกุมแอ็คชั่นในพื้นที่นครบาล และต่อมาวันที่ 3 ตุลาคม ฝ่ายปกครองก็มีการจับบ่อนไฮโลประชาสงเคราะห์ พื้นที่สน.ดินแดง จับตัวผู้ต้องหากว่า 50 คน หลังจากนั้นกลางดึกวันที่ 21 ต่อเนื่องวันที่ 22 ตุลาคม ฝ่ายปกครองปฏิบัติการบุกจับสถานบันเทิงย่านหทัยราษฎร์ จังหวัดปทุมธานี ปรากฏว่าต่อมาวันที่ 24 ตุลาคม ตำรวจสอบสวนกลางจับกุมลูกเขย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งลักษณะการจับกลุ่มมีการวางแผนแบบหวังผลจึงตั้งข้อสงสัยว่าตำรวจอาจเอาคืนฝ่ายปกครองที่ปฎิบัติการบุกจับบ่อนและสถานบันเทิงจนกระทบวงการตำรวจก่อนหน้านี้หรือไม่
แล้วปรากฏว่าหลังจากนั้นวันที่ 25 ตุลาคมมีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงมหาดไทย Kick off ให้เจ้าหน้าที่ส่งของตั้งชุดเฉพาะกิจจัดระเบียบทุกพื้นที่ทั้งนครบาลและระดับจังหวัด สิ่งเริ่มปฏิบัติการได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน และปรากฏว่าในคืนวันเดียวกัน ฝ่ายปกครองได้มีการจับสถานบันเทิงเถื่อน เลอ เนิร์ฟ ผับ พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และต่อมาคืนวันที่ 3 พฤศจิกายนตำรวจ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชุดป้องกันปราบปราม สภ.ช้างเผือก บุกจับร้าน Level 9 พบกลุ่มเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ซึ่งตัวเองมองว่าปฏิบัติการณ์ที่ผ่านมาของทั้งตำรวจและฝ่ายปกครองเหมือนเป็นการเอาคืนกันไปมาหรือไม่
และประเด็นสุดท้ายกรณีการดำเนินคดีทางอาญากับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โดยนายสันธนะ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา มีคนโทรศัพท์เข้ามาหาตน เป็นอดีตตำรวจ ยศพลตำรวจโท เป็นรุ่นน้องของตน ในการสนทนาฝ่ายนั้นระบุว่านายชูวิทย์ให้โทรหาตน ขอให้ตนกับชูวิทย์เลิกแล้วต่อกันได้หรือไม่ ซึ่งตนมองว่า ตอนนายชูวิทย์พูดถึงตน ประกาศให้รู้ทั่วประเทศ แต่ตอนขอจบ มาพูดกันแค่ 2 คนหรือ?ฃ ซึ่งตนไม่ทราบว่าขณะอีกฝ่ายพูดอยู่นั้น ได้เปิดโทรศัพท์ฟังด้วยกันกับนายชูวิทย์หรือไม่
นายสันธนะ ตั้งข้อสงสัยว่า การที่โทรมาเคลียร์ เนื่องจากมีคดีที่นายชูวิทย์ถูกอัยการนำตัวไปฟ้องที่ศาล ซึ่งหากไม่ไปจะถูกออกหมายจับ และจะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งเป็นคดีที่นายชูวิทย์พยายามปิดสื่อ
นายสันธนะ ตั้งข้อสงสัยว่า การที่โทรมาเคลียร์ เนื่องจากมีคดีที่นายชูวิทย์ถูกอัยการนำตัวไปฟ้องที่ศาล ซึ่งหากไม่ไปจะถูกออกหมายจับ และจะไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซึ่งเป็นคดีที่นายชูวิทย์พยายามปิดสื่อ
ทั้งนี้ตนกับนายชูวิทย์ ได้มีการคุยกันวันนั้นแล้ว ซึ่งตนไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่คิดว่าตัวนายชูวิทย์ทราบดีอยู่แล้ว ใครจะมารู้จักชูวิทย์ดีเท่ากับตน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนมีความสัมพันธ์รู้จักกันดีมาตลอด ตั้งแต่นายชูวิทย์เปิดสถานบริการ ตนรู้เรื่องนายชูวิทย์ทั้งหมด ที่พูดไม่ใช่การกล่าวหา แต่ที่ผ่านมานายชูวิทย์ให้ข่าวว่าไม่รู้จักตนและพูดถึงตนไม่ดีต่อหน้าสื่อมาตลอด ซึ่งตนก็นิ่ง ทนฟัง ไม่ได้โต้ตอบอะไร และในเหตุการณ์ในช่วง 1 ปีที่เกิดขึ้น นายชูวิทย์ทำอะไรโดยไม่คิด แต่วันนี้จะมาขอ จะเอาอะไร เรื่องของนายชูวิทย์กับตน หากตนบอกว่าตนยอม ก็เหมือนตนหลอกสื่อ แต่หากจะให้ตนพูดว่ายอม ตนขอยอมไม่หล่อ ไม่เท่ห์ ไม่อโหสิกรรม วันนี้นายชูวิทย์จะใกล้ตายหรือไม่ตนไม่ทราบ เห็นนั่งวิลแชร์ทำหน้าจ๋อย แต่ส่วนตัวตนก็ยังไม่เชื่อ ดังนั้นหากถามถึงวันนี้และหลังจากนี้ ไม่ต้องถามตนอีกแล้ว บอกได้เพียงว่า ธรรมชาติกำลังจะลงโทษเขา หากถามมากว่านั้น ก็จะบอกว่าอยากให้สิ่งที่เป็นธรรมชาติลงโทษเขา ตนไม่มีอะไรจะพูดถึงนายชูวิทย์อีกแล้ว ถ้าจะต้องการคำอวยพร ก็อวยพรได้ ขอให้ชูวิทย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้วิลแชร์ให้เร็วที่สุดแล้วกลับมาปะทะกันอีก ตนคอยอยู่ ผมไม่ได้บอกว่าผมเป็นคนดี แต่ผมไม่ได้เลวเท่าเขา นายสันธนะ กล่าว
Loading…