กระทรวง DE แถลงผลการจับกุมซิมผี จำนวนกว่า 20,000 ซิม
1 min read
กรุงเทพมหานคร -กระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงผลการจับกุมซิมผี จำนวนกว่า 20,000 ซิม ถูกผู้ต้องหาลักลอบถ่ายบัตรประจำตัวของต่างด้าวนำมาลงทะเบียน ก่อนนำไปขายในตลาดมืด
นาย ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมด้วย พลตำรวจเอก ธนา ชูวงศ์,รอง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโท วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา ลักลอบจำหน่ายซิมที่ลงทะเบียนพร้อมใช้งาน ในพื้นที่ จ.ชุมพร ตรวจยึดซิมโทรศัพท์มือถือ ได้จำนวน 20,511 ซิม
ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ตรวจสอบพบพฤติกรรมของผู้ต้องหารายหนึ่งใน จ.ตาก ที่มีพฤติกรรมนำเอาบัตรบุคคลต่างด้าว/พาสปอร์ต ที่มาใช้บริการที่ร้านขายซิมโทรศัพท์ของผู้ต้องหามาแอบถ่าย ก่อนนำข้อมูลบุคคลต่างด้าวดังกล่าวมาใช้ในการลงทะเบียนซิม และจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไปผ่าน กลุ่มลับในแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊ค ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการเปิดช่องให้มิจฉาชีพใช้เป็นช่องในการนำไปโทรหลอกลวงประชาชน
ผู้บัญชาการ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผยว่า สอท.ได้ส่งเจ้าหน้าที่ได้ทำการล่อซื้อซิมม้าที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จึงขยายผลและพบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่อื่นอีก 3 จังหวัด ได้แก่ จ.ชุมพร ซึ่งพบว่าได้รับซิมม้ามาจาก จ.ราชบุรี และกาญจนบุรี โดยจากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า เป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทค่ายมือถือแห่งหนึ่ง ได้มีการนำซิมที่ได้มีการลงทะเบียนแล้วหรือซิมผีมาจำหน่ายในกลุ่มรับซื้อขายผ่านแอพพลิเคชั่นเฟสบุ๊ค โดยรับซื้อซิมดังกล่าวมาในราคาซิมละ 35 บาท ก่อนนำมาขายในกลุ่มลับในราคา 43 บาท ซึ่งจะได้กำไรประมาณ 8 บาทต่อซิม แต่หากเป็นบุคคลทั่วไป จะมีการขายในราคา 150 บาทต่อซิม
ทั้งนี้ได้มีการลงพื้นที่ขยายผลตรวจค้นเพิ่มเติม จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้อีก 1 ราย ในพื้นที่จ.ราชบุรี ซึ่งมีพฤติกรรมลักษณะเดียวกัน ยึดซิมโทรศัพท์มือถือเพิ่มเติมอีกจำนวน 6,000 ซิม รวมซิมโทรศัพท์มือถือที่ตรวจยึดได้จำนวน 20,511 ซิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาฐาน ขายหมายเลขโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้ในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้วแต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ ตามความผิดฐาน พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2566 ซึ่งมีโทษจำคุก 2 ปี – 5 ปี จึงดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป
