“สายไหมต้องรอด” พาครอบครัวอ้างเป็นแพะรับบาป ถูก ตร.จับกุมยกบ้าน ตั้งข้อหาพยามฆ่า ใช้เพียงผลสอบพยานจากปากเด็ก 5 ขวบ
1 min read“สายไหมต้องรอด” พาครอบครัวอ้างเป็นแพะรับบาป ถูก ตร.จับกุมยกบ้าน ตั้งข้อหาพยามฆ่า ใช้เพียงผลสอบพยานจากปากเด็ก 5 ขวบ ส่งสำนวนฟ้องศาล “ธนกฤต“ ชี้คดีนี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง ด้านอดีต ผกก. ถามหาความเหมาะสม เรียกสอบเด็ก 5 ขวบ
ทีมงานสายไหมต้องรอดพาผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรมกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี หลังอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม กลายเป็นแพะรับบาปยกครอบครัว ในข้อกล่าวหาฆ่าคนเสียชีวิต ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 โดยมีนายกองตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ ในบังคับบัญชารองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เป็นผู้รับมอบหนังสือ
นายกองตรีธนกฤต กล่าวว่า มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ในจังหวัดตรัง เมื่อพบว่าเสียชีวิตครอบครัวผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมีผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิต 7 ราย ซึ่งประกอบไปด้วยคนในครอบครัวทั้งสิ้น และอีกหนึ่งประเด็นคือมีเด็ก 3-5 ขวบ รวมอยู่ประมาณ 4-5 คน ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เป็นพยานในการสอบสวน โดยมีสหวิชาชีพมาร่วมสอบสวนด้วย ทั้งนี้จากสภาพบาดแผลที่เกิดขึ้นได้รับรายงานว่าเป็นการถูกแทงและปาดคอ และนำศพไปทิ้งไว้ข้างทางบริเวณที่เป็นคูน้ำ ประกอบกับคนในครอบครัว ก็เป็นผู้ที่ไปแจ้งให้ทางผู้ใหญ่บ้านได้ทราบว่าพบศพ ใกล้กลับบ้านของครอบครัวนี้ ซึ่งห่างออกไปไม่เกิน 1 กิโลเมตร
เบื้องต้นมีการนำตัวไปสอบปากคำเป็นพยาน ซึ่งมีการสอบสวนทั้งสิ้น 12 คน และท้ายที่สุดมีการแจ้งข้อกล่าวหากับคนในครอบครัวดังกล่าวนี้ ตั้งแต่เยาวชนวัย 18 ปี คุณลุง คุณป้า ซึ่งจากการพูดคุยกับผู้กำกับการสภ. เมืองจังหวัดตรัง รับทราบว่ามีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะขอศาลอนุมัติออกหมายจับ และได้มีการดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งเวลานี้ทั้ง 3 คน ได้ประกันตัว โดยนำวัวที่ตนมีอยู่ไปขาย เพื่อมาเช่าหลักทรัพย์ประกันตัว แต่ยังมีคนในครอบครัวที่ยังถูกควบคุมอยู่ในเรือนจำ
โดยศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ได้รับเรื่องและขอใช้กองทุนยุติธรรมประสานการประกันตัว ให้คำแนะนำทางกฎหมาย โดยจัดหาทนายความต่อสู้คดี ขณะเดียวกันเวลานี้ทางครอบครัว มีทนายความที่ดำเนินคดีนี้อยู่แล้วในเบื้องต้น ซึ่งการร้องเรียนครั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรมเรื่องการถูกดำเนินคดี โดยทางเรายังมีการติดต่อไปยังผู้บังคับการจังหวัดตรัง ให้รับทราบและควรจะลงมาดูคดีนี้ อย่างไรก็ตามการแจ้งข้อกล่าวหาย่อมทำได้เนื่องจากประเทศไทยเป็นระบบกล่าวหา แต่ในที่สุดการกล่าวหาและการได้มาซึ่งพยานหลักฐานในการดำเนินคดี ต้องเพียงพอที่จะดำเนินการได้ และเวลานี้เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายในการแจ้งข้อกล่าวหากับบุคคลภายในครอบครัวเรียบร้อย แต่เกิดความสงสัยในเรื่องพยานหลักฐานที่มาและการกล่าวหา ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่การสอบปากคำเด็กที่มีอายุ 4-5 ขวบ มาใช้ประกอบการแจ้งข้อกล่าวหา และทราบด้วยว่าจะมีการส่งฟ้องภายใน1-2 วันนี้ ซึ่งจะเข้าไปอยู่ในการดูแลของพนักงานอัยการ อาจร้องความเป็นธรรมเข้าไป เพื่อให้พนักงานอัยการสอบสวนเพิ่มเติม
เรื่องนี้มีข้อสังเกตหลายเรื่อง ไม่ทราบถึงสถานที่ก่อเหตุ ไม่มีอาวุธที่ใช้ใกล้การก่อเหตุ และรถจักรยานยนต์พ่วงข้าง ที่ใช้ในการนำตัวไปปิดบังอำพรางซ่อนเร้นศพ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานคงดำเนินการตรวจว่ามี DNA หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นการได้มาของพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่มีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว และหากครอบครัวนี้สืบสวนในชั้นอัยการไม่พบความผิด เป็นการสั่งไม่ฟ้องคดีได้ข้อยุติก็จะต้องฟ้องในการละเมิดของเจ้าหน้าที่ แต่หากว่าไปยกฟ้องในชั้นศาลอาจจะได้รับการเยียวยาตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทน ค่าเสียหายกับจำเลยในคดีอาญา แต่หากพยานหลักฐานเพียงพอว่าคนในครอบครัวรวมร่วมกันก่อเหตุฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเป็นความจริงทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ในขณะที่นายสมพร ผู้ถูกกล่าวหากล่าวว่า วันที่เกิดเหตุตนได้พาลูกชายลูกชาย นำวัวไปเดินออกกำลังกาย กินหญ้าตามข้างทาง ซึ่งระหว่างเดินทางได้ไปพบศพผู้ชาย นอนนิ่งอยู่ในคูน้ำ แจ้งจึงได้รีบไปแจ้งผู้ใหญ่บ้าน เพื่อที่จะให้ดำเนินการแจ้งตำรวจมาดู ซึ่งในขณะนั้นยังไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร ก่อนที่ตนเองจะจูงวัวกลับบ้าน แต่มารู้ภายหลังว่าผู้เสียชีวิตคือคนที่รู้จักกัน จากนั้นในช่วงเวลาเย็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญให้ไปสอบปากคำ ที่สถานีตำรวจ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอน ต่อมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ตำรวจได้โทรเข้ามาว่าให้ไปให้ปากคำเพิ่มเติม แต่วันนั้นตนติดภารกิจต้องขับรถบรรทุกมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะกลับไปในวันที่ 23 พฤศจิกายน จากนั้นวันที่ 24 พฤศจิกายน ตำรวจได้เข้ามาจับกุมครอบครัวไปสอบสวนทั้งบ้าน รวมทั้งหมด 12 คน จับแยกไปสอบคนละห้อง ซึ่งรวมถึงเด็กอายุ 4 และ 5 ขวบ
ในขณะที่นางสุจิตรา หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นภรรยาของนายสมพร กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้ถูกดำเนินคดี เป็นจำนวน 6 คน ประกอบด้วยนายสมพร นางสุจิตรา ลูกชาย 1 คน ลูกสาว 2 คน และลูกเขย 1 คน แต่ขณะนี้ประกันตัวมาแล้ว 3 คน ซึ่งยังเหลืออีก 3 คน ประกอบด้วยลูกสาว 2 คน และลูกเขยอีก 1 คน ที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว ซึ่งตำรวจได้ตั้งข้อกล่าวหาร่วมกันพยายามฆ่า อำพรางซ่อนเร้นศพ โดยตำรวจใช้หลักฐานจากการสอบปากคำเด็กอายุเพียง 5 ขวบ ซึ่งเป็นหลานสาวของตนเอง ซึ่งตอนนี้หลานของตนเองจิตตก กลัวตำรวจ ไม่กล้าไปโรงเรียน ซึ่งหลานบอกกับตนว่า ในวันสอบพยาน ตำรวจสั่งให้พูดอย่างเดียว จนทำให้หลานขวัญเสีย
ยืนยันว่าไม่เคยมีปัญหากับผู้เสียชีวิต เพราะเวลาพบเจอหน้ากันก็จะพูดดีกันตลอด ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน อีกทั้งตำรวจยังใช้มีดในครัว ที่ไม่มีลายนิ้วมือ ไม่มีคาบเลือด ใช้เป็นหลักฐานกล่าวหาครอบครัวตนเอง
นอกจากนี้นางสุจิตรา ยังกล่าวทั้งน้ำตาว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ครอบครัวตนเอง “ถูกตราหน้าจากสังคม เพื่อนในหมู่บ้านว่าเป็นฆาตกร” จนไม่สามารถไปสู้หน้าใครได้ เพราะเขาเชื่อตำรวจ อีกทั้งต้องขายวัวจำนวน 7 ตัว ไปขาย เพื่อนำเงินไปประกัน จนตอนนี้ไม่เหลืออะไรแล้ว และก็ไปติดหนี้ยืมสินคนอื่นเยอะแล้ว จึงอยากร้องเรียนให้นายกรัฐมนตรีช่วยให้ความเป็นธรรม
ด้านพันตำรวจเอกรัฐศักดิ์ รักสลาม ที่ปรึกษาคณะทำงาน ซึ่งอดีตเคยเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจหลายที่ จึงได้ตั้งข้อสังเกตถึงการสอบสวนเด็กเพียงอายุ 5 ขวบในฐานะพยานว่า ตามกฎหมายการสอบสวนเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา ต้องสอบต่อหน้าสหวิชาชีพ หรือผู้ชำนาญการเข้ามาร่วมในการสอบสวนด้วย ซึ่งกรณีที่ออกหมายจับจะต้องมีทั้งพยานบุคคล พยานหลักฐาน ผลสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย แต่การสอบสวนเด็กอายุเพียง 5 ขวบ เป็นเรื่องของความเหมาะสม ถึงแม้ว่ากฎหมายจะไม่ได้ระบุว่าห้ามก็ตาม ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในอนาคตด้วย ในความส่วนตัวเห็นส่วนตัวหากตนเป็นเจ้าหน้าที่จะไม่สั่งให้สอบสวนเด็กเด็ดขาด และที่ผ่านมาก็ไม่เคยทำ