“ไม่ทนต่อไปแล้ว” ชาวบ้านเตรียมยื่นร้องศูนย์ดำรงธรรมฯ เหตุเผาไร่อ้อยกระทบชาวบ้าน ผู้ป่วยติดเตียงเกือบถูกรมควันตาย (มีคลิป)
1 min readสระแก้ว ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกว่า 6 ครอบครัวในพื้นที่ ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว เตรียมเข้ายื่นร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดฯ หลังเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสระแก้ว ได้รับผลกระทบจากการเผาไร่อ้อย สวนยูคาลิปตัส พื้นที่การเกษตรและฟาร์มได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียงหวิดถูกรมควัน เรียกร้องให้โรงงานน้ำตาลไม่รับซื้ออ้อยเผา
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ไร่อ้อยในพื้นที่บ้านคลองอุดมสุข ม.7 ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว เขตติดต่อกับเขตป่าเขาสามสิบ อ.เขาฉกรรจ์ และ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เมื่อสองวันก่อน ส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรโดยเฉพาะสวนป่ายูคาลิปตัส ไร่อ้อย ฟาร์มหมูและพืชผลทางการเกษตรของชาวบ้านในพื้นที่เดียวกันได้รับความเสียหายจำนวนมาก โดยไฟจากการเผาไร่อ้อยได้ลุกลามต่อเนื่องเป็นวงกว้าง มีกลุ่มควันจำนวนมากพัดเข้าบ้านเรือนของผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง จนต้องเร่งเข้าช่วยเหลือเกือบจะสำลักควันตาย ทำให้ผู้เสียหายรวมตัวกัน จำนวน 6 ครอบครัว เดินทางไปแจ้งความกับ พ.ต.ท.ประสิทธิ์ เหล็กดี สารวัตรสอบสวน สภ.เมืองสระแก้ว เพื่อให้มีการดำเนินคดีและเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้จุดไฟเผาไร่อ้อยดังกล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ได้รับแจ้งจากผู้เดือดร้อน ซึ่งเป็นเจ้าของสวนป่ายูคาลิปตัสอายุเพียง 1 ปีเศษ แจ้งว่า ต้นเพลิงเกิดจากไร่อ้อยติดกัน ไฟลุกไหม้ช่วงกลางวันขณะเจ้าของไร่อ้อยให้คนงานเก็บกวาดใบอ้อยที่เพิ่งตัดเสร็จ พร้อมไถกันพื้นที่ แต่เมื่อมีการจุดไฟได้มีลมแรงทำให้ไฟลุกลามไปยังสวนยูคาลิปตัสของตนเอง ฟาร์มหมูและสวนอื่น ๆ ในพื้นที่โดยรอบกินเนื้อที่หลายร้อยไร่ เมื่อชาวบ้านไปแจ้งความ ตำรวจลงมาสอบสวนกลับไม่มีใครยอมรับว่า เป็นคนจุดไฟ ตนในฐานะผู้เสียหายจึงรับกับกรณีอย่างนี้ไม่ได้ เพราะทำความเดือดร้อนให้คนอื่น ตอนนี้ทำได้แค่ตัดต้นยูคาฯ ออกหวังเพียงว่า มันจะแตกขึ้นมาใหม่ได้เท่านั้น
นายจินดา บุญโต ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 บ้านคลองอุดมสุข ต.ท่าเกษม กล่าวว่า กรณีนี้มีคนเดือดร้อนจำนวนมากถึง 6 ราย ไม่รวมกับไร่อ้อยที่เขายังไม่ได้ตัดและถูกไฟลุกลามเผาไปด้วย ได้พากันไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานกับตำรวจ และเตรียมรวมตัวกันเดินทางไปยื่นร้องเรียน เรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดสระแก้ว โดยปัญหาการเผาอ้อยสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านมาก ตอนเช้าปัจจุบันนี้ฝุ่นละอองเต็มเขาไปหมด ทางเดียวที่จะแก้ได้คือ โรงงานจะต้องไม่รับซื้ออ้อยที่เผา ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าเผาแล้วเพราะขายไม่ได้
นายรำพึง ทวีสอน และ นางศรี ทวีสอน ผู้ป่วยขาพิการที่มีบ้านติดกับไร่อ้อย อยู่บ้านเลขที่ 54 ม.7 ต.ท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว กล่าวว่า การดำรงชีพตอนนี้ลำบากมาก ทั้งควันทั้งฝุ่น ไฟก็จะไหม้บ้าน ตอนที่ไฟลามมาจากข้างล่าง ลมตีมาจนมีการไหม้ทั้งทุ่งดำมืดไปหมด ตนและภรรยาที่เป็นคนป่วยขาพิการไม่ค่อยดี มีอาการทั้งหืดและหอบ ไม่รู้จะให้แก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไรเพราะเป็นเกษตรกรเหมือนกัน การดำรงชีพก็ลำบากหน่อย มันต้องทำใจ จะให้ทำอย่างไร ซึ่งถามว่าเราเดือดร้อนไหม ก็เดือดร้อนนะ แต่การไหม้ทีเดียวเดือดร้อนกันทั่ว ฟ้ามืดไปหมด ตนและภรรยาต้องใช้ผ้าจุ่มน้ำโพกหัวไว้ เพื่อให้หายใจได้
ทางด้าน นายภิญโญ หวังวรภิญโญ อยู่บ้านเลขที่ 22 ม.7 ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว เจ้าของฟาร์มหมูที่ไฟไหม้ลุกลามเข้าไหม้อุปกรณ์ของฟาร์ม และมีแม่วัย 87 ปี ผู้ป่วยติดเตียงที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากการสำลักควันไฟ กล่าวว่า ผลกระทบจากการเผาตอนนี้คนในครอบครัวมีปัญหามาก จากการเก็บเกี่ยวไร่อ้อยด้วยการเผา พอเผาแล้วตนและครอบครัวและทุกคนได้รับควันที่ค่อนข้างรุนแรงมาก เพราะอากาศนิ่ง แล้ง ทำให้ควันไม่ไปไหน วันที่ไฟไหม้ตนและครอบครัวได้รับผลกระทบจากควันทำให้ตนปวดหัวมาก ในอนาคตจะเกิดโรคทางเดินหายใจ อนาคตคนสระแก้วอาจจะเป็นมะเร็งปอดจากการเผาทุกวันในฤดูหีบอ้อย ซึ่งการแก้ไขทางโรงงานน้ำตาลต้องลดการเผาโดยตัดสด และการแก้ไขที่ดีที่สุด คือโรงงานน้ำตาลต้องไม่รับซื้ออ้อยที่มาจากการเผา อยากให้แก้ตรงนี้
ภาพ/ข่าว นายยุทธนา พึ่งน้อย ผู้สื่อข่าวจังหวัดสระแก้ว