นักธุรกิจใจบุญ เข้าแจ้งความหลังจากถูกผู้ที่อ้างตนว่าเป็นหมอโรงพยาบาล ตำรวจ หลอกขายหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐาน (มีคลิป)
1 min readนักธุรกิจใจบุญ เข้าแจ้งความกับ พันตำรวจเอก พงศ์จักร ปัญาการุณพงษ์ ผู้กำกับ สภ.ปากเกร็ด หลังจากถูกผู้ที่อ้างตนว่าเป็นหมอโรงพยาบาล ตำรวจ หลอกขายหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้มาตรฐาน สูญเงินกว่า 332,000 บาท
วันที่ 3 เมษายน 2563 เวลา 11:20 ผู้เกิดเหตุเดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวนสภ.ปากเกร็ด เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนายวรุตม์ ที่อ้างตนว่าเป็นหมอโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และหลอกขายหน้ากากที่ไม่ได้มาตรฐาน ให้กับผู้เสียหาย จำนวน 280 กล่อง มูลค่าเงิน 332,000 บาท
ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายได้มีการติดต่อผ่านนายหน้าโดยมีการนัดตกลง ซื้อขายสินค้าหน้ากากอนามัยกัน ที่ ห้าง โฮมโปรแจ้งวัฒนะ สินค้าทีนำมาขายในครั้งนี้ผู้ขายเอง ได้แจ้งว่าสินค้าดังกล่าว เป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานและเป็นสินค้าที่ใช้ในโรงพยาบาลตำรวจ เป็นเกรดเดียวกัน ทำให้ผู้ซื้อหลงเชื่อว่าสินค้าดังกล่าวมีคุณภาพและมาตรฐาน จึงมีการวางเงินและซื้อสินค้าดังกล่าวกัน แต่เมื่อผู้ซื้อได้สินค้าไปแล้วได้นำส่งไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคใต้ เมื่อถึงโรงพยาบาลแล้วปรากฏว่า หน้ากากอนามัยดังกล่าวไม่ได้มาตรฐานตามที่ผู้ขาย ได้แจ้งไว้ เป็นหน้ากากชนิดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่สามารถที่จะใช้ ในห้องผ่าตัดหรือโรงพยาบาลได้ ทางโรงพยาบาลผู้ได้รับบริจาค จากนายศราวุธ จึงขอส่งสินค้าคืนให้นายศราวุธ
เมื่อสอบสินค้าแล้วก็เป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐานตามที่นาย วรุตม์ จะอ้างว่าสินค้าเป็นสินค้าที่ใช้ในโรงพยาบาลได้ตามคำกล่าวอ้ติดต่อไปยังนายหน้า เพื่อเจรจาขอคืนหน้ากากอนามัย ดังกล่าว โดยตกลงเจรจากันว่า ยอมเจ็บตัวกันคนละครึ่ง ขอคืนหน้ากากอนามัยจำนวน 150 กล่อง และขอเงินคืนจำนวน 178,000 บาทภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 โดยมีนายหน้าเป็นตัวกลางในการส่งมอบสินค้าคืน
เมื่อมีการเจรจาตกลงเป็นที่เรียบร้อยนางสาวคุณนาสา ได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สน.มักกะสัน แต่เมื่อถึงวันและเวลาดังกล่าว นายมารุตม์ไม่ได้นำเงิน มาคืนให้ตามจำนวน ที่ได้ตกลงกันไว้ ทางผู้เสียหายเองได้พยายามโทรติดต่อผ่านตัวกลาง แต่นายวรุตม์เอง ก็ ไม่ตอบ และทำเมินเฉย โดยแจ้งว่า อยากจะทำอะไรก็ทำ ทางผู้เสียหายเอง พร้อมกับตัวกลาง นางสาวคุณนาสา จึงเดินทางมาแจ้งความ ที่สภ.ปากเกร็ด เพื่อ ดำเนินคดีกับนายมารุตม์ เมื่อพันตำรวจเอก พงศ์จักร หลังทราบเรื่องแล้วได้ติดต่อประสานงานกับนายมารุตม์ ให้ไปไกล่เกลี่ยเจรจากัน ในวันที่ 4 เมษายน 2563 เวลาประมาณช่วงบ่าย แต่ถ้าเกิดผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่มาตามนัดหมายก็ทำการออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 หากไม่มา 2 ครั้งก็จะออกหมายจับ ต่อไป
ทั้งนี้ทางทีมงานข่าวชัดประเด็นจริงได้ตั้งข้อสังเกตว่า เนื่องจากสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าควบคุมอีกทั้งนายวรุตม์ เองยังขายสินค้าที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด ทั้งยังเป็นการกักตุนสินค้าไว้เก็งกำไร จึงถามไปยังทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด พ.ต.อ.พงศ์จักรว่า ในกรณีดังกล่าวเป็นคดีอาญาหรือไม่แล้วผู้เสียหายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาสามารถยอมความกันเองได้ไหมทางผู้กำกับ สภ.ปากเกร็ด บอกว่าเรื่องดังกล่าวเป็นคดีอาญาไม่สามารถยอมความได้ ผู้สื่อข่าวจึงอยากให้ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ไปทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา และ ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ฉวยโอกาส ในช่วงวิกฤตโควิด เกร็งกำไรสินค้าและการตุนสินค้าเพื่อเก็งกำไรทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าวทราบมาว่าบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นหมอโรงพยาบาลนั้นเป็นหมอจริง และยังเป็นลูกของเพื่อน ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองด้วย เกรงว่าคดีจะมีความคืบหน้าจึงได้แจ้งไปยังจเรตำรวจ พ.ต.อ.สรรค์พิสิฐ แย้มเกษรเพื่อให้ดูแลและกำชับติดตามคดีนี้เนื่องจากว่าคดีนี้เป็นคดีที่ ให้ความสนใจของพี่น้องประชาชนและเป็นคดีที่
ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ในการเก็งกำไรในช่วงวิกฤต ไวรัสโควิด เพราะผู้ที่กระทำผิดเป็นหมอที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย
ส่วนหน้ากากอนามัยที่เหลือบางส่วนนอกเหนือจากการเจรจาขอส่งมอบคืนกับคู่กรณีนั้น ทางผู้เสียหาย นายศราวุธ มาตรา ได้นำไปบริจาคให้กับหน่วยงานภาครัฐ ทางวัด และบุคคลที่ขาดแคลน จนหมดแล้ว ซึ่งเหลือเพียงแค่จำนวน150กล่องที่นำมาเป็นของกลาง
หลังจากที่ทีมงานข่าวชัดประเด็นจริงได้เสนอข่าว ทางผู้กำกับจึงได้ประสานงานไปยังผู้เสียหายให้มาเจรจาและตกลงกัน หมอจึงยอมคืนเงินเพื่อถอนเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว
ภาพข่าว/สุวรรณ บัวโรย ข่าวชัดประเด็นจริงรายงาน