“ทนายพจน์” เปิดเผย! คดีเงิน 71 ล้าน ตั้มกับเมียเหนื่อยแน่ สู้จนพ้นผิดหรือจบที่คุก อาจต้องเป็นทนายเอง หลัง “ทนายปาเกียว” ขอถอนตัว
1 min readทนายพจน์ ให้ความเห็นในฐานะคนเคยให้คำปรึกษาทนายตั้มคดีหวย 30 ล้านบาท แต่หลังจากนั้นก็ไปมีชื่อเสียงและห่างหายกันไป โดยมองการต่อสู้คดีของทนายตั้มเหนื่อยหนักหลังจากมีทนายถอนตัวไม่ทำคดีให้ ซึ่งทนายตั้มมีสิทธิ์แต่งตัวเองเป็นทนายความได้แต่หากถูกควบคุมตัวอยู่ก็ไม่สามารถสวมชุดว่าความตามระเบียบได้ โดยแนวทางการต่อสู้และให้สารภาพในส่วนที่จนด้วยหลักฐาน หากคดีไหนเชื่อมั่นว่ามีหลักฐานก็ให้ต่อสู้เป็นคดีไปเพราะตอนนี้สารพัดเรื่องที่จะเข้ามารุมจนเจ้าตัวน่าจะมึนไปแล้ว ส่วนภรรยาจะปฏิเสธกับศาลและสังคมลำบากว่ารู้เห็นว่าเงินดังกล่าวมาจากที่ใดและถูกเก็บไว้ที่ใดก็เป็นเรื่องเหนื่อยอีกคนเช่นกัน
วันที่ 27 พฤศจิกายน 67 จากคดีความทนายศิธา เบี้ยบังเกิด และภรรยาซึ่งถูกคควบคุมตัวในคดีฉ้อโกงเงินจำนวน 71 ล้านบาทและสาวมาถึงยอดดเงิน 39 ล้านบาท ซึ่งนางจตุพร อุบลเลิศ หรือ เจ๊อ้อย ผู้เสียหายได้เดินหน้าในคดีสุดซอย ซึ่งยังมีคนใกล้ชิดถูกออกหมายจับและควบคุมตัวอย่างต่อเนื่องโดยเป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเส้นทางทางการเงินรวมถึงเอกสารต่างๆ พบพิรุธหลายประเด็น
โดยประเด็นดังกล่าว นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร “ทนายพจน์” ได้ออกมาให้ความเห็นถึงเรื่องแนวทางการต่อสู้คดี เนื่องจากนายสายหยุด เพ็งบุญชู หรือฉายา ทนายปาเกียว ได้ขอถอนตัวจากการเป็นทนายความในการต่อสู้คดีให้กับทนายตั้ม ยิ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนได้ตั้งข้อสงสัยไม่ต่างๆกับสื่อมวลชยหลายแขนงที่ต้องการจะหาข้อเท็จจริงและแนวทาในการต่อสู้คดีครั้งนี้ในหลายคดีที่เกิดขึ้น
นายศุภภัทร์พจน์ หรือ “ทนายพจน์” กล่าวว่า สำหรับคดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจเนื่องจากทนายตั้มเป็นทนายที่มีชื่อเสียง ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นที่สนใจของประชาชน แต่ในฐานะที่เคยคุ้นเคยกันอยู่กับทนายตั้มระยะหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงของการทำคดีเกี่ยวกับหวย 30 ล้านบาท ซึ่งตอนนั้นทนายตั้มก็ได้โทรมาขอคำปรึกษาอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อจบคดีไปก็ได้ห่างหายกันไป ก่อนที่ทนายตั้มจะโลดแล่นอยู่ในแวดวงโซเชียลหลายคดี
“ทนายพจน์” กล่าวต่อว่า ตอนนี้สังคมอาจจะมองว่าใครที่มาเป็นทนายจำเลยก็จะเดือดร้อนไปด้วยหรือเสียชื่อเสียงไปด้วย ในเรื่องนี้ก็อยากจะแจ้งให้ประชาชนได้ทราบว่า จำเลยทุกคนจะต้องมีทนายซึ่งหากไม่มีทนายการพิพากษาเป็นไปโดยไม่ชอบ เพราะจำเลยไม่มีทนาย ศาลต้องยกฟ้อง เป็นอันดับที่หนึ่ง อันดับต่อมา คือหากไม่มีใครกล้ามาเป็นทนายให้กับทนายตั้มเพราะกลัวกระแสสังคม ประเด็นนี้ตัวทนายตั้มเองก็สามารถเป็นทนายความว่าความให้ตัวเองได้ แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ต้องขังจะมาเป็นทนายให้กับตัวเองจะต้องสวมชุดสีน้ำตาลเค้าเรียกว่าชุดศาลเบิกเบิก ชุดออกศาล ซึ่งการสวมชุดสีน้ำตาลก็ จะไม่สามารถสวมชุดครุยว่าความได้ เพราะการ สวมชุดครุยทนายจะต้องมีรูปแบบเช่นจะต้องสวมเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ เป็นรูปแบบของ แต่การสวมชุดผู้ต้องขังสีน้ำตาลแล้วมาสวมครุยว่าความ มันผิดระเบียบไม่สามารถทำได้ นอกเสียจากว่าทนายตั้มจะได้รับการประกันตัวออกไป แต่ในตอนนี้ทนายตั้มยังอยู่ในการควบคุมฉะนั้นหากถูกเรียกตัวมาเพื่อสืบพยานก็จะต้องสวมชุดน้ำตาล โดยที่ไม่มีชุดครุย แต่ก็สามารถว่าความให้ตัวเองได้ แต่งทนายให้ตัวเองได้ จะมีการซักถามค้าน ถามติง เบิกความทำเองได้หมด
“ทนายพจน์” กล่าวต่ออีกว่า ประเด็นที่สาม คือทนายตั้มต้องสู้สุดซอย อย่างที่ทนายอาคม เขาบอก เพราะว่าเขามาไกลแล้ว และมีหลายคดีและหลายกรรมมารวมทั้งทั้งคดี 71 ล้านบาท คดี 39 ล้านบาท 9 ล้านบาท มันมีหลายกรรและมีการให้การปฎิเสธมาโดยตลอดถ้าสุดท้ายเค้ามารับ จะกลายเป็นว่ารับเพราะจำนนด้วยหลักฐาน ศาลอาจจะไม่บรรเทาโทษให้ ฉะนั้นผมมองว่ารับติด ก็ติดอยู่ดีแต่เขาสู้ ก็ต้องสู้หัวชนฝาก็มีสองทาง คือ ยกฟ้องทั้งหมดเค้ารอด สามศาลลงโทษเขาติดคุก ในเมื่อรับก็ติดสู้ก็มีโอกาสเป็นประเด็นที่ทนายตั้มต้องสู้
“ผมว่าทนายตั้มเหนื่อยมาก เพราะมีหลายกรรมหลายคดีแต่มันเชื่อมโยงกันทั้งหมด แล้วเรื่องปลอมแปลงเอกสาร และยังมีการแต่งเอกสารเรื่องยกมรดกขึ้นอีก ตอนนี้ดูมันยุ่งไปหมดแล้วตัวเค้าเองก็น่าจะงงไปหมดแล้วว่าอะไรอะไรมันก็ดูพันกันไปหมดแล้วตอนนี้ และทนายทุกคนมองเหมือนกัน คือถ้าเราอยู่ในสถานะของทนายตั้ม ณ ตอนนี้ ให้การรับสารภาพน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า แต่ตอนนี้มันมีหลายเรื่อง เรื่องไหนที่ตัวเองผิดก
รับสารภาพไป เรื่องไหนที่คิดว่าตัวเองไม่ผิดหรือมีพยานหลักฐานที่มายืนยันได้ก็สู้กันไปไม่ว่ากัน แต่เรื่องไหนผิดจริงก็ต้องยอมรับไปไม่ใช่หัวชนฝา มันก็จะชนฝาจริงๆมันจะบาดเจ็บจริงๆ” “ทนายพจน์” กล่าว
ส่วนคดีของภรรยาทนายตั้ม มองว่า เป็นที่รู้กันว่าประชาชนก็เห็นเหมือนกันว่าภรรยาจะไม่รู้ไม่เห็นเลยก็เป็นไปไม่ได้ว่าเงิน 71 ล้านบาท 39 ล้านบาท ยอดต่างๆนานาที่โอนเข้ามาจะมาจากไหน จะมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้เห็นว่าเงินมาจากไหน แต่ก็เป็นที่น่าเห็นใจว่าจากการที่เป็นผู้หญิงที่อยู่ภายนอกและมีเงินทองใช้แต่ต้องเข้ามาถูกอยู่ในสถานที่ควบคุมเช่นเรือนจำก็ต้องใช้ชีวิตยากลำบาก ในส่วนในมุมมองของผมและประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถจะปฏิเสธได้ว่าเงินที่โอนเข้ามาจะมาจากไหนมาจากใคร บ้าน 40 ล้านบาทก็มาใส่ชื่อตัวเองก็ชัดเจน และเหนื่อยในแนวทางการต่อสู้คดีด้วยเช่นกัน